เตือนโรคติดต่อที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน


สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง 
เตือนโรคติดต่อที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน

           นายแพทย์ศิริชัย ภัทรนุธาพร นายแพทย์สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง กล่าวว่า ขณะนี้ได้เข้าสู่ฤดูฝนแล้ว สภาพอากาศจะมีความชื้นสูงและเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุการเกิดโรคติดต่อหลายชนิด สามารถแพร่ระบาดได้ง่ายและรวดเร็ว จึงขอเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการเจ็บป่วย และป้องกันโรคที่เกิดในช่วงฤดูฝนนี้ จากข้อมูลการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาย้อนหลัง ๕ ปี จังหวัดลำปางพบโรคที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน แบ่งได้เป็น ๓ กลุ่ม คือ 

           ๑. โรคติดเชื้อทางระบบหายใจ ได้แก่ โรคไข้หวัดใหญ่และโรคปอดบวม 

           ๒. โรคติดต่อที่มียุงเป็นพาหะ ได้แก่ โรคไข้เลือดออก 
 
           ๓. โรคติดต่ออื่นๆ ได้แก่ โรคตาแดง โรคมือ เท้า ปาก และโรคเลปโตสไปโรซิส(ฉี่หนู) 

           จากระบบเฝ้าระวังโรคของสำนักระบาดวิทยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง 

           ในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่ผ่านมา มีผู้ป่วย ดังนี้ โรคไข้หวัดใหญ่ ๓,๓๕๑ ราย อัตราป่วย ๔๔๕.๕๕ ต่อแสนประชากร โรคปอดบวม ๓,๓๕๗ ราย อัตราป่วย ๔๔๖.๓๔ ต่อแสนประชากร โรคไข้เลือดออก ๗๔๘ ราย อัตราป่วย ๙๙.๔๕ ต่อแสนประชากร โรคตาแดง ๒,๙๗๖ ราย อัตราป่วย ๓๙๕.๖๙ ต่อแสนประชากร โรคมือเท้าปาก ๑,๖๐๔ ราย อัตราป่วย ๒๑๓.๒๗ ต่อแสนประชากร และโรคเลปโตสไปโรซิส(ฉี่หนู) ๑๑ ราย อัตราป่วย ๑.๔๖ ต่อแสนประชากร และ 

           ในปี พ.ศ. ๒๕๖๐ ที่ผ่านมา มีผู้ป่วย ดังนี้ โรคไข้หวัดใหญ่ ๗๘๖ ราย อัตราป่วย ๑๐๔.๕๐ ต่อแสนประชากร โรคปอดบวม ๑,๒๔๙ ราย อัตราป่วย ๑๖๖.๐๗ ต่อแสนประชากร โรคไข้เลือดออก ๕๘ ราย อัตราป่วย ๗.๗๑ ต่อแสนประชากร โรคตาแดง ๙๒๖ ราย อัตราป่วย ๑๒๓.๑๒ ต่อแสนประชากร โรคมือเท้าปาก ๓๗๓ ราย อัตราป่วย ๔๙.๕๙ ต่อแสนประชากร และโรคเลปโตสไปโรซิส(ฉี่หนู) ๓ ราย อัตราป่วย ๐.๔๐ต่อแสนประชากร 

           ในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ปีนี้จังหวัดลำปางได้รับการสนับสนุน วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ จากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในการฉีดให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยง ๔ กลุ่มหลักฟรี ได้แก่ 

           ๑. หญิงมีครรภ์อายุครรภ์ ๔ เดือนขึ้นไป 

           ๒. เด็กอายุ ๖ เดือนถึง ๒ ปี 

           ๓.ผู้ที่มีโรคประจำตัว โรคเรื้อรัง ได้แก่ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หอบหืด หัวใจ หลอดเลือดสมอง ไตวาย เบาหวาน มะเร็ง 

           ๔.ผู้สูงอายุ ๖๕ ปีขึ้นไป 

           รวมจำนวนวัคซีน ๔๒,๐๐๐ ราย 

           ซึ่งกลุ่มเสี่ยงสามารถรับบริการฉีดวัคซีน ได้ที่โรงพยาบาลลำปางและโรงพยาบาลประจำอำเภอ ตั้งแต่ วันที่ ๑ มิถุนายน - ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ สำหรับประชาชนทั่วไปสามารถป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่และโรคปอดบวมได้ โดยการพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ไม่คลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ป่วย รับประทานผักและผลไม้ กินอาหารร้อนๆสดสะอาด ใช้ช้อนกลางกรณีที่รับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น และล้างมืออย่างสม่ำเสมอ 

โรคไข้เลือดออก ซึ่งมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ทุกๆ คน สามารถป้องกันตนเองได้  

          ๑. ป้องกันไม่ให้ถูกยุงลายกัด โดยการสวมเสื้อผ้าให้มิดชิดป้องกันยุงกัด รวมถึงนอนในมุ้ง ทายากันยุง หรือใช้สมุนไพรไล่ยุง 

          ๒. ป้องกันไม่ให้มีแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำยุงลายโดยใช้วิธี 

          ๓  เก็บ คือ เก็บบ้าน ให้ปลอดโปร่งไม่ให้ยุงลายเกาะพัก เก็บขยะเศษภาชนะไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของยุงลาย เก็บน้ำปิดให้มิดชิดไม่ให้ยุงลายวางไข่ 

          การดำเนิน ๓ มาตรการนี้ สามารถป้องกันได้ ๓ โรค ได้แก่ โรคไข้เลือดออก โรคติดเชื้อไวรัสซิกา และโรคไข้ปวดข้อยุงลาย และ ๓.การกำจัดและควบคุมยุงตัวแก่ เช่น การพ่นสารเคมีกำจัดยุงลาย เป็นต้น ถ้าทุกคนช่วยกันก็จะสามารถป้องกันโรคไข้เลือดออกได้

โรคตาแดง เกิดจากการอักเสบของเยื่อบุตา จากการติดเชื้อไวรัส กลุ่มอาดิโนไวรัส 
ป้องกันได้โดยการล้างมือด้วยน้ำและสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ ไม่คลุกคลีใกล้ชิด หรือใช้สิ่งของร่วมกับผู้ป่วย ถ้ามีฝุ่นละอองหรือน้ำสกปรกเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที อย่าปล่อยให้แมลงหวี่ตอมตา หมั่นดูแลรักษาความสะอาดของร่างกาย และสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ให้สะอาดอยู่สม่ำเสมอ

โรคมือเท้าปาก เกิดจากเชื้อไวรัส กลุ่มเอนเตอโรไวรัส เป็นโรคที่พบบ่อยในเด็ก มักพบการป่วยในสถานรับเลี้ยงเด็ก ศูนย์เด็กเล็ก โรงเรียน 

          การป้องกัน ที่สำคัญคือ การแยกผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ มิให้ไปสัมผัสกับเด็กคนอื่น ผู้ใหญ่ที่ดูแลเด็กควรหมั่นล้างมือ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ หมั่นทำความสะอาดของเล่น และสิ่งแวดล้อมทุกวัน ทำความสะอาดโดยใช้สบู่ ผงซักฟอก หรือน้ำยาชะล้างทำความสะอาดทั่วไป ไม่ให้เด็กใช้ของเล่นที่อาจปนเปื้อนน้ำลาย หรืออุปกรณ์การรับประทานร่วมกัน ควรสอนให้เด็ก ใช้ช้อนกลาง และล้างมือก่อนรับประทานอาหาร กรณีเด็กป่วย ไม่ควรให้เด็กป่วยไปเรียนจนกว่าจะหายเป็นปกติ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

โรคฉี่หนู สาเหตุเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ชื่อว่า เลปโตสไปร่า (Leptospira) เข้าทางบาดแผล รอยขีดข่วน รอยถลอกตามผิวหนัง เยื่อบุตา จมูก ปาก หรือไชเข้าผิวหนังที่แช่น้ำนานจนอ่อนน้ำ และสามารถติดเชื้อโดยการกินอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อจากปัสสาวะหนู 

        การป้องกันโรค 

        ๑. กำจัดหนู ทั้งในนาข้าวและที่อยู่อาศัย 

        ๒. รักษาความสะอาดบริเวณบ้านเรือน ปิดฝาถังขยะและเศษอาหารตกค้าง 

        ๓. ถ้ามีบาดแผล รอยถลอก ขีดข่วนให้ปิดแผล และหลีกเลี่ยงการย่ำน้ำที่ท่วมขัง หรือพื้นที่แฉะ หรือแช่ลงในห้วย หนอง คลอง บึง 

        ๔. ควรสวมรองเท้าบูท ถุงมือ หรือชุดป้องกัน ถ้าต้องเดินย่ำน้ำหรือพื้นที่แฉะ 

        ๕. หลีกเลี่ยงการแช่น้ำในห้วย หนอง คลอง บึง นานเกินครั้งละ ๒ ชั่วโมง 

        ๖. รีบอาบน้ำ ทำความสะอาดร่างกายโดยทันที หากแช่น้ำหรือลงไปย่ำในน้ำ 

        ๗. เก็บหรือปกปิดอาการและน้ำดื่มให้มิดชิด อย่าให้หนูปัสสาวะใส่ 

        ๘. ดื่มน้ำต้มสุก และกินอาหารที่ปรุงใหม่ๆ ด้วยความร้อน 

        ๙. รีบล้างมือ ด้วยน้ำและสบู่ ภายหลังการจับต้องเนื้อสัตว์ ซากสัตว์ และสัตว์ทุกชนิด 

        สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง ได้มีการประชาสัมพันธ์แจ้งเตือนให้ระวังโรคติดต่อ ไปยังหน่วยงานสาธารณสุขในพื้นที่ และSocial ต่างๆ ซึ่งได้แก่ โรงพยาบาลชุมชนทุกแห่ง สำนักงานสาธารณสุขอำเภอทุกอำเภอ และประชาสัมพันธ์ในกลุ่ม Social ลำปาง กลุ่มลำปางซิ้ตี้ ทั้งนี้ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานในสังกัดทุกแห่ง เตรียมความพร้อมในการดูแลประชาชน เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ของโรคในพื้นที่ เมื่อพบการระบาดของโรค ให้ดำเนินการ สอบสวน ควบคุมโรคทันที่ พร้อมกับรายงานให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปางทราบ และทำการสื่อสารความเสี่ยง ประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนต่อไป

        ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทรสายด่วนกรมควบคุมโรค 1422
กลุ่มงานควบคุมโรคติดต่อ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดลำปาง

#เตือนโรคติดต่อที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูฝน

โรคผิวหนังหน้าร้อน

โรคผิวหนังหน้าร้อน
หมอบุ๋ม


         เข้าสู่เดือนเมษายน  ฤดูร้อนของบ้านเรา และเมื่อหน้าร้อนเข้ามาเยือน  อากาศที่ร้อนอบอ้าว  แดดที่ร้อนจัดบวกกับความชื้นในอากาศที่สูงของบ้านเราอาจนำมาซึ่งโรคผิวหนังต่างๆ  ที่สาวๆ  จะต้องกังวลใจ เพราะมันทั้งน่ารำคาญ  ทำให้ผิวหนังของเราถูกทำลายและทำให้ใครหลายคนขาดความมั่นใจ  วันนี้หมอมี 3  โรคผิวหนังที่เกิดขึ้นได้บ่อยในช่วงหน้าร้อนมาฝากกันเป็นความรุ้  จะได้ป้องกันกันไว้ตั้งแต่ก่อนโรคผิวหนังตัวร้ายจะมาทำร้ายเรากัน


       1.  ฝ้าแดด  แสงยูวีในช่วงหน้าร้อนจะทำลายผิวหนังของเราอย่างร้ายกาจ เพราะเจ้ารังสียูวีจะกระตุ้นให้มีกระบวนการสร้างเม็ดสีของผิวหนังเรามากขึ้นกว่า นำมาซึ่งภาวะฝ้าและกระแดด หรือหากในคนที่เป็นฝ้าอยู่แล้วเดิม  ก็แสดงว่ามีภาวะไวต่อแดดของผิวอยู่แล้วเดิม  ก็จะยิ่งเป็นฝ้าดำง่ายขึ้นไปอีก  แต่วิธีดูแลก็ไม่ยากเลย  เพียงแต่ต้องทาครีมกันแดดอย่างถูกวิธี  โดยเลือกครีมกันแดดที่มี SPF 50  PA+++ โดยทาทุก ๆ  3-4  ชั่วโมง  เพราะฉะนั้น  ใครที่ทำงานในบริษัทหรือสำนักงานต่าง ๆ ต้องออกจากบ้านตั้งแต่เช้า  ก็ให้ทาครีมกันแดดตั้งแต่เช้าและก่อนจะออกไปทานข้าวเที่ยง  ถึงตอนเที่ยงนั้น  ครีมกันแดดที่เราทาตอนเช้าก็หมดประสิทธิภาพไปแล้ว ฉะนั้น  อาจจะต้องเลือกครีมกันแดดสูตรน้ำมาทาเพิ่มเติม 15 นาที  ก่อนออกแดดเที่ยงอีกครั้ง เพื่อป้องกันฝ้าแดดที่จะมาทำร้ายผิวหน้าของเรา



       2.  โรคเชื้อราที่ผิวหนัง  เมื่ออากาศร้อนชื้นจะส่งผลให้เรามีเหงื่อออกตามร่างกายมากขึ้น  เพื่อระบายความร้อนในร่างกายออก  และเหงื่อที่สะสมตามรักแร้  ซอกพับต่าง ๆ ของร่างกาย  อาจนำซึ่งเชื้อราในร่มผ้า  เช่น  กลากเกลื้อน  วิะีการดูแลตัวเองก็ควรรักษาความสะอาด  ไม่ควรปล่อยให้ร่างกายอับชื้น  ถ้ามีเหงื่อออกมาก ๆ  อาจลองหาผ้าชุบน้ำเช็ดทำความสะอาดร่างกายระหว่างวัน  และที่สำคัญควรต้องอาบน้ำก่อนเข้านอนอย่างสม่ำเสมอ  และถ้ามีผื่นแดงหรือขาวขึ้นผิดปรกติตามร่างกาย  ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางผิวหนังทันที



       3.  กลิ่นตัว  ปัญหาที่ร้ายกาจมาก  ๆ  สำหรับในช่วงหน้าร้อน  เพราะทั้งน่าหงุดหงิด  และทำลายความมั่นใจเป็นอย่างมาก   เมื่ออากาศร้อนมากเหงื่อก็จะออกมากขึ้นเพื่อระบายความร้อน  ซึ่งจะทำให้มีกลิ่นตัวมากขึ้น  สร้างความรำคาญใจต่อตนเอง และคนรอบข้าง  วิธีการดูแลตัวเองคือ  รักษาความสะอาดโดยเฉพาะบริเวณรักแร้  การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยในการลดเหงื่อ  ไม่ว่าจะเป็นสเปรย์  โรลออน  จะช่วยลดการหลั่งเหงื่อ  และทำให้กลิ่นตัวลดลงได้  แต่คนที่เลือกการใช้โรลออน  ควรกลิ้งอย่างเบามือ  อย่าถูแบบรุนแรง  เพราะจะทำให้รักแร้ของเราดำได้






ครัวคุณต๋อย
เมษายน 2560

#โรคผิวหนังหน้าร้อน

6 โรค ที่เกิดในฤดูร้อน

6 โรค ที่เกิดในฤดูร้อน



ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ฤดูร้อน อากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง เหมาะกับการเจริญเติบโตของเชื้อโรคอย่างมาก โดยเฉพาะเชื้อแบคทีเรีย ยิ่งพื้นที่ที่ขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ที่สะอาด ยิ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการระบาดของโรคติดต่อทางอาหารและน้ำ จึงของให้ระมัดระวังความสะอาดของอาหารและน้ำดื่มเป็นพิเศษ และยึดหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวันง่ายๆ ได้แก่ กินร้อน คือ กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ หากยังไม่กิน ต้องเก็บในตู้เย็นหรืออุ่นให้ร้อนก่อนกิน ใช้ช้อนกลางในการกินอาหารร่วมกัน  ล้างมือทุกครั้งก่อนกินอาหารและหลังใช้ห้องน้ำห้อมส้วม ดื่มน้ำที่สะอาด เช่น น้ำดื่มบรรจุขวดที่มีเครื่องหมาย อย. หรือน้ำต้มสุก

1. โรคอุจจาระร่วง เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส โปโตซัว พยาธิ ทำให้มีการถ่ายอุจจาระเหลว ถ่ายเป็นมูกเลือด




2. โรคอาหารเป็นพิษ ติดต่อโดยการรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อ มักพบในอาหารปรุงสุกๆ ดิบๆ ซึ่งมีอยู่ทั้งในเนื้อสัตว์ ไข่ รวมทั้งอาหารกระป๋อง อาหารทะเล นมที่ไม่ผ่านการฆ่าเชื้อ หรืออาหารที่ปรุงทิ้งไว้เป็นเวลานาน อาการที่มักมีไข้ ปวดท้อง เชื้อที่ได้รับสามารถทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะอาหารและลำไส้ ปวดท้อง ปวดเมื่อยคลื่นไส้ อาเจียน อุจจารร่วง หรือการติดเชื้อจากอวัยวะอื่น เช่น ข้อกระดูก ถุงน้ำดี หัวใจ ปอด ไต เยื่อหุ้มสมองไปจนถึงโลหิตเป็นพิษ ถ้าเกิดในทารถ เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ จะทำให้ถึงขั้นเสียชีวิตได้



3. โรคบิด เกิดจากแบคทีเรียหรืออะมิบา ติดต่อได้โดยการรับประทานอาหาร ผักดิบ น้ำดื่มที่มีการปนเปื้อนเชื้อโรค อาการสำคัญ คือ ถ่ายอุจจาระบ่อย อุจจาระมีมูกหรือมูกปนเลือด มีไข้ ปวดท้องแบบปวดเบ่ง



4.  อหิวาตกโรค เกิดจากเชื้ออหิวาตกโรค ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียติดต่อจากอาหารหรือน้ำที่มีเชื้อปน จะเกิดอาการถ่ายอุจจาระเป็นน้ำคราวละมากๆ โดยไม่มีอาการปวดท้อง และมีอาการขาดน้ำและเกลือแร่อย่างรวดเร็ว เช่น กระหายน้ำ อ่อนเพลีย ปัสสาวะน้อย ชีพจรเต้นเร็ว อาจเกิดภาวะช็อก หมดสติจากการเสียน้ำ ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจถึงตายได้



5. ไข้ไทฟอยด์ หรือ ไข้รากสาดน้อย ติดต่อจากอาหารและน้ำที่ปนเปื้อนอุจจาระและปัสสาวะของผู้ป่วย ทำให้มีไข้ปวดหัว เมื่อย เบื่ออาหาร อาจท้องผูกหรือท้องเสีย อาจมีเชื้อปนออกมากับอุจจาระและปัสสาวะเป็นครั้งคราว และเป็นพาหะนำโรคได้ โรคติดต่อทางอาหารและน้ำส่วนใหญ่เชื้อจะติดต่อทางการรับประทานอาหารและน้ำดื่ม ควรรับประทานอาหารสุกใหม่ ไม่รับประทานอาหารที่มีแมลงวันตอม การรักษาเริ่มแรก ดื่มสารละลายน้ำตาลเกลือแร่ (โออาร์เอส) ในสัดส่วนที่ถูกต้อง คือ ผสมน้ำตาลเกลือแร่ 1 ซอง ผสมน้ำสุกที่เย็น 1 แก้ว ให้ดื่มบ่อยๆ และควรดื่มน้ำและอาหารเหลว เช่น น้ำชา น้ำข้าว น้ำแกงจืด น้ำผลไม้ หรือข้าวต้มหากมีอาเจียนมากขึ้น ไข้สูงชัก ควรนำส่งแพทย์โดยเร็ว



6. โรคพิษสุนัขบ้า หรือ โรคกลัวน้ำ มักเกิดจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเป็นพาหะนำโรคมาสู่คน ส่วนใหญ่พบในสุนัข แมว ติดต่อได้ทั้งการโดนกัด หรือถูกเลียบริเวณที่มีแผลถลอก หรือ น้ำลายสัตว์ที่มีเชื้อเข้าตา ปาก จมูก หากถูกกัด ให้รีบล้างแผลด้วยสบู่หรือน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้ง แล้วรีบไปพบแพทย์ เพื่อรับคำแนะนำและฉีดวัคซีนป้องกัน ถ้าไม่ได้รับการรักษา จะมีอาการภายใน 15-60 วัน บางรายอาจนานเป็นปี โรคพิษสุนัขบ้ายังไม่มียารักษา ทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตทุกรายภายใน 2-7 วัน หลังแสดงอาการ จึงต้องรีบให้วัคซีนทันทีเมื่อได้รับเชื้อ และแจ้งให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทราบทันที เพื่อเข้าควบคุมโรคในพื้นที่



ด้วยความปราถนาดีจาก
โรงพยาบาลสายไหม
www.saimai.co.th
0-2991-89999

#โรคที่เกิดในฤดูร้อน

กินถั่วเมล็ดรูปไต ป้องกันโรคมะเร็ง

กินถั่วเมล็ดรูปไต 
ป้องกันโรคมะเร็ง


กล่าวเรื่องคุณประโยชน์ของถั่วกันไม่มีวันหมด



วันนี้จะขอกล่าวถึงคุณค่าถั่วเมล็ดรูปไต อันได้แก่ ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วขาว ถั่วกันเนลลินี ถั่วปิ่นโต และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ที่คนไทยอย่างเราๆ คุ้นเคย หาซื้อง่าย ราคาสบายกระเป๋า ก็คือ ถั่วแดงและถั่วดำ

สรรพคุณโดดเด่นของถั่วเมล็ดรูปไตคือ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย บำรุงหัวใจ บำรุงกระดูก ลดระดับคลอเรสเตอรอล รักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้สมดุล ช่วยควบคุมน้ำหนัก เพราะเส้นใยที่มีมากในถั่ว ช่วยคุณรู้สึกอิ่มท้องได้นานขึ้น ทำให้ร่างกายมีพลังงานสม่ำเสมอ

อีกทั้งสารลิกแนน สารซาโพนิน และสารยับยั้งโปรทีเอสในถั่วเมล็ดรูปไตยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งบางชนิด โดยเฉพาะมะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก

มาเพิ่มเมนูถั่วให้อยู่คู่ครัวกันเถอะค่ะ



Tips
-  เพื่อลดปริมาณก๊าชของถั่วเมล็ดรูปไตจากคาร์โบไฮเดรสที่ชื่อ โอลิโกแลคซาไรด์ ควรนำถั่วไปแช่น้ำและเทน้ำทิ้งก่อนนำไปปรุงอาหาร

- เพิ่มความสะดวกในการนำถั่วมาประกอบอาหาร โดยการต้มถั่วครั้งละมากๆ แล้วแบ่งใส่ถุงเล็กๆ เก็บไว้ในช่องแช่แข็งได้นาน 2 สัปดาห์

- นำถั่วที่ต้มแล้วมาบดผสมกับน้ำมะนาว น้ำมันมะกอก ปรุงรสด้วยเกลือและพริกไทย ใช้ทา
แซนวิสแทนมายองเนส ได้ประโยชน์พร้อมความอร่อย






#ป้องกันโรคมะเร็ง

หอมหัวใหญ่สู้โรคหัวใจ+มะเร็ง

หอมหัวใหญ่สู้โรคหัวใจ+มะเร็ง


ถึงแม้ว่าจะเสียน้ำตาทุกครั้งที่ต้องปอกและหั่นหอมหัวใหญ่ ทานสลัดหรือใส่ในน้ำสต๊อก ชมนาดก้ไม่เคยต้อแต้

เพราะเป็นแฟนคลับผักกลิ่นฉุนกำลังดีชนิดนี้อย่างเหนียวแน่น

ยิ่งมาอ่านงานวิจัยมากมายที่ยืนยันประโยชน์ของหอมหัวใหญ่ จึงมีความรักให้ผักชนิดนี้เกินร้อย


กินหอมหัวใหญ่กำราบสารพัดโรค
โรคหัวใจและหลอดเลือด

ข้อมูลจากหนังสือ สารานุกรมผัก ของ ศาสตราจารย์ ดร.ทวีทอง  พงษ์วิวัฒน์ อธิบายว่า

มีความเชื่อมาตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 แล้วว่า หอมหัวใหญ่ สรรพคุณ  ช่วยรักษาหัวใจและการหมุนเวียนเลือดในร่างกาย โดยชาวฝรั่งเศสใช้หอมหัวใหญ่เลืียงม้าที่มีปัญหาการไหลเวียนเลือด



ในปี ค.ศ.1975  นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ พบว่า ในหอมหัวใหญ่มีสารไซโคลแอลลิซีนที่สามารถละลายลิ่มเลือดที่จับตัวกันในหลอดเลือดได้ และในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน การวิจัยในฮอลแลนด์และฟินแลนด์ พบว่า เควอร์เซทิน (Quencetin) ซึ่งเป็นสารฟลาโวนอยด์ชนิดหนึ่ง มีมากในพืชตระกูลหอม ช่วยลดความเสี่ยงการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน

ในปี ค.ศ.1985 นักวิจัยจากสถาบันวิจัยระบบหลอดเลือดแห่งเมือนบอสตัน สหรัฐอเมริกา พบว่า หอมหัวใหญ่ไม่เพียงแค่ช่วยลดระดับคลอเรสเตอรอลรวมในเลือดเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มคลอเรสเตอรอลดี หรือ HDL (High-density Lipoprotein) ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันได้อย่างมีนัยสำคัญ

สารพัดมะเร็ง
นอกจากนี้ผักสุดโปรดของชมนาดยังติดอันดับหนึ่งในสิบของผักที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งด้วย

มีงานวิจัยเรื่องหนึ่งทำการศึกษากับจำนวนคน 582 คน พบว่า คนที่เพิ่มปริมาณการกินหอมหัวใหญ่ จะช่วยลดความเสียงของการเกิดมะเร็งปอดได้


นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยคอร็เนลด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่า การกินหอมหัวใหญ่จะมีกลิ่นฉุน จะมีสารที่ออกฤทธิ์ต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งตับและลำไส้ใหญ่ได้ดีกว่าหอมหัวใหญ่ที่มีกลิ่นอ่อนๆ

อีกทั้งนักวิจัยกลุ่มหนึ่งในสหรัฐอเมริกายังพบว่า หอมหัวใหญ่ ซีเรียล และธัญพืชชนิดต่างๆ ถือเป็นอาหารที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมากได้

โรคกระดูกพรุน
นอกจากนี้ยังมีการตีพิมพ์ผลการศึกษาเรื่องหนึ่งใน Journal of Agriculture and Food Chemistry ว่า หอมหัวใหญ่จะช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก จึงช่วยลดโอกาสเกิดโรคกระดูกพรุนได้


มากมายประโยชน์ขนาดนี้ เป็นใครก็ต้องเสียน้ำตาให้การหั่นหอมหัวใหญ่ ใช่ไหม

#หอมหัวใหญ่ สรรพคุณ

ธรรมชาติบำบัดดูแล "้หัวใจ" ด้วยสมุนไพรใกล้ตัว

ธรรมชาติบำบัดดูแล "หัวใจ" 
ด้วยสมุนไพรใกล้ตัว


หัวใจแข็งแรง แฝงไว้ 2 ความหมาย
อาจหมายถึง ความเข้มแข็งทางจิตใจ
หรือสุขภาพของหัวใจที่แข็งแรง

ใน 2 ความหมายนี้ มีส่วนเชื่อมโยงกันอยู่
หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแข็งแรงสมบูรณ์ดี
อีกฝ่ายก็น่าจะแข็งแรงตามไปด้วย

เพราะฉะนั้นมาดูแล "หัวใจ" ด้วยพืชสมุนไพรกันดีกว่า
หาง่าย ไม่แพง แถมนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย

ได้แก่


กระเทียม ช่วยลดการอุดตันของไขมันในหลอดเลือด

พริก ช่วยให้การไหลเวียนของเลือดสุมดุล ลดอาการใจสั่น

ขิง ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด

ใบแปะก๊วย ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดแดงและดำ

เตยหอม ช่วยบำรุงหัวใจ ดับกระหาย สดชื่น



ใครชอบแบบไหนเลือกแบบนั้นเลยจ้า..... 

อาหารเช้าคือมือที่สำคัญที่สุด

อาหารเช้าคือมือที่สำคัญที่สุด




ในสังคมปัจจุบันนี้เกือบ 80 เปอร์เซนต์ที่คนส่วนใหญ่ 
มิได้ให้ความสำคัญกับอาหารเช้า เนื่องจากต้องเร่งรีบเวลา
เพื่อไปเรียนหรือทำงาน คนไทยเราจะให้ความสำคัญกับอาหารเย็น เน้นว่าเป็นมื้อที่ต้องรับประทานอาหารหนักๆ มากกว่ามื้อกลางวัน ส่วนมื้อเช้านั้นบางคนข้ามไปเลย บางคนก็ดื่มกาแฟเพียง 1 ถ้วยเท่านั้น 
บางคนก็กินขนมปังสักแผ่นเดียว สังเกตให้ดีจะพบว่า จะรู้สึกไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ถ้ามื้อเช้าคุณไม่ได้ให้สารอาหารที่ร่างกายต้องการ คือ อาหารที่มีโปรตีนสูงและไขมันอย่างพอเพียง 




อาหารเช้าที่หนักเกินไปก็เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ร่างกายต้องการเพียงสารอาหารที่ครบถ้วนในปริมาณไม่มากนัก เพื่อที่คุณจะได้มีกำลังวังชา สมองปลอดโปร่ง กระปรี้กระเปร่า 

พลังงานจะอยู่ในร่างกายคุณเป็นเวลานาน และทำให้คุณไม่หิวบ่อย ถ้าได้รับประทานอาหารเช้าที่ดี อาหารเย็นไม่ควรเป็นมื้อหนักสำหรับเรา



เด็กเป็นอีสุกอีใส

เด็กเป็นอีสุกอีใส

การดูแลและปฏิบัติตัวเมื่อเด็กเป็นอีสุกอีใส

โรคสุกใส หรือ อีสุกอีใส เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า วาริเซลล่า (Varicella-Zoster Virus) ซึ่งเป็นไวรัสชนิดเดียวกันกับที่ทำให้เกิดโรคงูสวัด (Herpes Zoster)



การติดต่อ
ติดต่อได้ง่ายๆ โดยการหายใจรดกัน ไอจามใส่กัน การสัมผัสกับตุ่มแผลหรือตุ่มน้ำที่ผิวหนังของผู้ป่วยโดยตรง หรือสัมผัสกับของใช้ของผู้ป่วย เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม เสื้อผ้า ที่นอน หมอน เป็นต้น โดยโรคอีสุกอีใส มีระยะฟักตัว ประมาณ 10-21 วัน

อาการ
อาการของโรคจะเริ่มจากการมีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ ปวดท้อง บางรายมีแผลในช่องปาก ลิ้นเปื่อยหรือเจ็บคอ ต่อมาผิวหนังจะขึ้นผื่น โดยขึ้นที่หน้าและลำตัวก่อน แล้วตามด้วยแขนขา ผื่นจะเป็นผื่นแดง เม็ดเล็กๆ มีอาการคัน แล้วกลายเป็นตุ่มพองน้ำใส (หรือตุ่มหนอง ถ้าติดเชื้อแบคทีเรีย) ผื่นหรือตุ่ม จะไม่ขึ้นพร้อมกันทั่วร่างกาย โดยผื่นหรือตุ่มแต่ละบริเวณของร่างกายอาจมีลักษณะที่แตกต่างกัน เช่นบางที่จะออกเป็นผื่นแดงราบ บางที่เป็นตุ่มน้ำใสๆ บางที่เป็นตุ่มกลัดหนอง และบาที่ก็เริ่มตกสะเก็ด บางรายที่มีไข้สูง มีผื่นขึ้นตามตัวมาก หรือมีอาการที่รุนแรงขึ้นจะหายใจหอบซึมลงได้ อาจพบภาวะแทรกซ้อน ซึ่งมักเกิดในผู้ใหญ่ เช่นการติดเชื้อแบคทีเรีย ปอดอักเสบ สมองอักเสบ


การดูแลและปฏิบัติตัวเมื่อเด็กเป็นอีสุกอีใส
โดยทั่วไปโรคอีสุกอีใสเป็นโรคไม่รุนแรงและหายได้เองภายใน 7-10 วัน พบภาวะแทรกซ้อนน้อยในเด้ก จึงควรดูแลให้ดี

1. แยกเด็กที่ป่วย เช่น แยกห้องเพื่อป้องกันติดเด็กคนอื่นๆ และให้หยุดเรียนไม่ไปโรงเรียน

2. ให้เด็กพักผ่อนและดื่มน้ำมากๆ นอนหลับให้เพียงพอ

3. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และย่อยง่าย ควรรับประทานอาหารจำพวกโปรตีน นม ไข่ ถั่วต่างๆ

4. ถ้ามีไข้ให้ยาลดไข้ พาราเซทตามอล ไม่ควรให้ยาลดไข้แอสไพริน เพราะเสี่ยงต่อการเกิดกลุ่ม อาการไรน์ (Reye's syntrome) ซึ่งจะเกิดความผิดปกติกับสมองและตับได้ ควรใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวบ่อยๆ หรือใช้แผ่นเจลลดไข้ช่วยอีกทางหนึ่งเป็นการเสริมการใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัว

5. ไม่ใช้สิ่งของร่วมกันหรือปะปนกันกับผู้ป่วย ทั้งของใช้และของกิน

6. เมื่อมีอาการคันให้ยาแก้คัน ยาแก้แพ้ หรือยาทา คาลาไมน์โลชั่น ตัดเล็กเด็กให้สั้น และพยายามไม่แกะหรือเกาตุ่มคัน ซึ่งอาจทำให้ติดเชื้อจนเป็นตุ่มหนองตามมาได้

7. ควรอาบน้ำ ฟอกสบู่ให้สะอาด

8. ถ้ามีอาการปากเปี่อยหรือลิ้นเปื่อย ให้ใช้น้ำเกลือกลั้วปาก

9. หากมีอาการผิดปกติอื่นๆ เช่น ไข้สูง ซึม ตุ่มพอง เป็นหนอง ไอมีเสมหะมาก เจ็บหน้าอก หอบเหนื่อย ให้รีบพาไปพบแพทย์โดยด่วน

10. เมื่อหายจากโรคอีสุกอีใสแล้ว มักไม่ค่อยมีแผลเป็น หากมีสามารถใช้ครีมลดรอยแผลเป็นทาให้รอยหายได้ เช่น ครีมที่มีส่วนผสมของนมผึ้ง ใบบัวบก ว่านหางจระเข้ วิตามินอี เป็นต้น



คุยเฟื่องเรื่อง สุขภาพ
เภสัชกรประวิทย์  ตันติสุวิทย์กุล

อย่ากลัว "แดด" มากไป

อย่ากลัว "แดด" มากไป


แสงแดดเป็นตัวการทำร้ายผิวสวย 
ใครๆ.. ก็รู้ 
จะไม่ให้กลัวได้...

แต่การกลัวแดดมากไปจนเกินพอดี หรือพฤติกรรมในยุคปัจจุบัน
ที่ต่างพากันหลบแดด นั่งทำงานอยู่แต่ในห้องแอร์
และทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูงๆ
ร่างกายจะขาดหรือพร่องวิตามิน D ได้
ทำให้มีผลต่อกระดูกและร่างกาย
ทำงานไม่ปกติ (อาจไม่เกิดทันทีทันใด)

มีงานวิจัยว่า
คนไทย 1 ใน 3 จะขาดวิตามิน D
และคนกรุงเทพพบถึงร้อยละ 64
ที่พร่องวิตามิน D
(ไม่ใช่เล่นๆ เลยนะเนี่ย)



อย่ากลัวแดดมากไปเลย
ใช้เวลาสัก 15 นาที ในตอนเช้าแดดอ่อนๆ
ออกมาสัมผัสแสงแดดบ้างๆ
สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ก็ยังดี
เพื่อสุขภาพที่ดีในระยะยาว

สารอาหารดี ดี มีใน "เห็ด"

สารอาหารดี ดี มีใน "เห็ด" 
mushroom

ในช่วงฤดูฝนอย่างนี้ อาจทำให้หลายคนไม่สบายได้ ยิ่งถ้าไม่ระมัดระวังตัวเองให้ดีแล้วล่ะก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย นอกจากเราจะต้องดูแลร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอแล้ว เรื่องของอาหารการกินก็เป็นอีกหนทางหนึ่ง ที่จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีได้ ต้องยอมรับกันว่าในยุคนี้เป็นยุคทองของธรรมชาติกันจริงๆ เพราะผู้คนหันมาใส่ใจเรื่องของธรรมชาติมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการบริโภคผักก็ต้องเป็นผักปลอดสารพิษ บริโภคอาหารกากใยมาก ๆ เป็นต้น

"เห็ด" สามารถเกิดขึ้นได้ในบริเวณที่มีความอับชื้น โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝนอย่างนี้ ยิ่งทำให้ดอกเห็ดบานสะพรั่งกันเลยทีเดียว แต่เวลาที่เราจะเลือกรับประทานเห็ดแล้วล่ะก็อย่าสุ่มสี่สุ่มห้ารับประทานโดยเด็ดขาด ถ้าเราไม่รู้จักเห็ดชนิดนั้นๆ ดีพอ เอาเป็นว่าให้ซื้อจากตลาดที่เราเชื่อถือได้เป็นการดีที่สุด

ผู้อ่านคงทำหน้านิ่วคิ้วขมวดสงสัยกันแล้วว่า แล้วเห็ดนั้นมาเกี่ยวอะไรกับเคล้ดลับรักสุขภาพล่ะ ต้องบอกเลยว่าเกี่ยวกับสุขภาพกันจริงๆ ผู้อ่านรู้หรือเปล่าว่าเห็ดที่เรารับประทานกันเข้า ไม่ว่าจะเป็นเห็ดฟาง เห็ดหูหนู เห้ดขาว ล้วนแล้วแต่ป้องกันโรคได้ทั้งสิ้น คุณสาธิต ไทยทัตกุล อุปนายกสมาคมนักวิจัยและเพาะเห็ดแห่งประเทศไทย บอกว่าโดยเฉพาะเห็ดฟาง เมื่อเรารับประทานเข้าไปจะมีสารตัวหนึ่งในเห็ดฟางเข้าไปเคลือบกระเพาะ และช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ ส่วนเห็ดหูหนู จะช่วยในเรื่องของการฟอกปอดได้ด้วย

แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คือเห็ดที่เรานำไปประกอบอาหาร จะต้องมีการลวกให้สุกเสียก่อน แต่คุณค่าทางอาหารก็ไม่ได้เสียไปกับความร้อนที่ใช้ จึงทำให้เรารับประทานเห็ดแล้วได้รับประโยชน์จากเห็ดได้อย่างเต็มที่ ไม่เหมือนกับผัก หรือเนื้อสัตว์ที่ต้องสูญเสียวิตามิน แร่ธาตุต่างๆ ให้กับความร้อนไป ถ้าเรารู้จักที่จะเลือกรับประทานแล้วล่ะก็ เพียงแค่นี้เราก็มีสุขภาพที่ดีได้ โดยไม่ต้องพึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่วางจำหน่ายกันเกลื่อนตลาดในขณะนี้


กินอย่างไรให้มีประโยชน์
สมุนไพรเพื่อสุขภาพ
การดูแลสุขภาพ, สุขภาพดีสร้างได้

น้ำมันมะกอก กินก็ได้ ทาก็ดี

น้ำมันมะกอก 
กินก็ได้ ทาก็ดี


เรื่องสุดท้ายที่จะนำมาฝากกันในฉบับนี้ก็คือ น้ำมันมะกอก ปัจจุบันจะเห็นว่า เดี๋ยวนี้ผู้คนหันมานิยมใช้น้ำมันมะกอกปรุงอาหารกันมากขึ้น เพราะว่าน้ำมันมะกอกเป็นไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว (monounsaturated fat) กินแล้วไม่อ้วน ไม่มีคลอเรสเตอรอลสูงเหมือนไขมันจากสัตว์ และ นักวิจัยของ บ.บารี ประเทศอิตาลี ได้ทำการศึกษาในกลุ่มผู้สูงอายุจำนวนหนึ่ง  กับการบริโภคอาหารที่เต็มไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว พบว่า การบริโภคน้ำมันมะกอกในปริมาณเฉลี่ย 46 กรัมต่อวัน จะช่วยเสริมสร้างเซลล์สมองไม่ให้เสื่อมไปตามอายุขัยด้วย



นอกจากจะช่วยไม่ให้สมองเสื่อมแล้ว น้ำมันมะกอกยังช่วยบำรุงเส้นผมของคุณให้มีน้ำหนักเป็นเงางามด้วย วิธีการง่าย ๆ ไม่ต้องพึ่งร้านเสริมสวยจากที่ใด เริ่มด้วยการชโลมน้ำมันมะกอกให้ทั่วศีรษะในปริมาณที่พอเหมาะ จากนั้นทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วสระผมทำความสะอาดเหมือนปกติ หรืออีกวิธีหนึ่งคือ ใช้น้ำมันมะกอกผสมกับไข่แดงตีให้เข้ากันชโลมให้ทั่วศีรษะ ทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมงแล้วล้างออก เพียงเท่านี้คุณก็จะได้เส้นผมที่มีความเงางามและมีน้ำหนัก แต่สำหรับท่านที่ผมมันจะไม่เหมาะกับวิธีนี้ 

ส่วนคนที่ผิวแห้งโดยเฉพาะในหน้าหนาว ผิวจะแห้งแตก ทำให้เกิดอาการคัน ก็สามารถใช้น้ำมันมะกอกที่ผสมหรือไม่ผสมน้ำหอมทาผิว ช่วยลดการตึงของผิวได้ เห็นหรือยังละว่าน้ำมันมะกอกนี่สารพัดประโยชน์จริงๆ ก็ลองนำไปใช้ดูก็แล้วกัน ได้ผลอย่างไรอย่าลืมบอกต่อด้วย



สมุนไพรเพื่อสุขภาพ

สุขภาพดี, สุขภาพแข็งแรง, กินเพื่อสุขภาพ

ยืนขาเดียว

สาระเพื่อชีวิต

ยืนขาเดียว




ท่านทราบหรือไม่ว่า โรคอัลไซเมอร์สามารถป้องกันได้ด้วยการยืนกระต่ายขาเดียว

ลองทำดูนะ ไม่ยาก แต่เคล็ดลับอยู่ที่ "ต้องหลับตา" จะยืนท่าไหนก็ได้ ขอให้เป็นขาเดียว ลองขาซ้ายกับขาขวาสลับกันคนละที จะรู้สึกไม่เหมือนกัน หากยืนได้ไม่ถึง 10 วินาที แสดงว่า ประสาทควบคุม ถดถอยไปถึง อายุ 60-70 ปีแล้ว

ฝึกบ่อยๆ จะฟื้นฟูความสมดุล ผู้รู้แนะว่า หากทำได้วันละ 1 นาที จะมีประโยชน์ต่อการรักษาระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาลในเลือด โรคที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลัง และจะห่างไกลโรคอัลไซเมอร์

เมื่อร่างกายเกิดการเจ็บป่วย ทางแพทย์จีนถือว่า อวัยวะในร่างกาย มีสภาพการทำงานที่ไม่สัมพันธ์์กัน ร่างกายจะเกิดสภาพไม่สมดุล ฉะนั้น "การยืนกระต่ายขาเดียว" จะทำการปรับปรุง เกลี่ยความสัมพันธ์เหล่านั้น


ที่เท้ามีเส้นประสาทที่สำคัญวิ่งผ่านวิ่งถึง 6 เส้น การยืนขาเดียวทำให้เส้นประสาทที่อ่อนแอ เกิดอาการปวดเมื่อย ถือเป็นการฝึกฝนไปในตัว และพลอยทำให้อวัยวะที่เกี่ยวเนื่องกับเส้นประสาทเหล่านั้นได้รับการปรับแต่ง

การยืนด้วยขาข้าเดียว ทำให้มีสมาธิ จะชักนำให้ลมปราณ และโลหิตในร่างกายวิ่ง ลงสู่ฝ่าเท้า ทำให้เกิดผลดีต่อการรักษาโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลัง และยังสามารถปรับปรุง อาการสมองฝ่อ ป้องกันโรคที่เกี่ยวกับสมองได้อีกด้วย ที่สำคัญจะเพิ่มพูนระบบอิมมูนของร่างกายอย่างรวดเร็ว ใครที่เป็นโรคเท้าเย็นได้ผลทันตาเห็น

ผู้รู้บอกอีกว่า คนอายุช่วงไหนก็ทำได้ หากทำตั้งแต่หนุ่มสาวจะดียิ่ง แต่คนอายุ 70 ปี ขึ้นไป หรือคนแก่ที่ไม่สามารถแม้แต่จะยืนมั่นคงได้ด้วยสองขาของตัวเอง ก็อาจสายเกินไปเสียแล้ว

ไม่เสียหาย!!! ลองทำดูครับ แล้วยิ้มมมไปด้วย

นอกจากยืนขาเดียว เราสามารถฝึกเดินจงกรม ให้ร่างกายจิตใจดีขึ้นได้


มาสเตอร์เรืองฤทธิ์  แสงจิต


ดูแลสุขภาพ,, สุขภาพดี





ป้องกันอัลไซเมอร์   ยืนขาเดียว   ฝึกลมปราณ  

การรักษาโรคมะเร็งด้วยสมุนไพร

การรักษาโรคมะเร็งด้วยสมุนไพร


ที่ผ่านมามีงานวิจัยเกี่ยวกับพฤติกรรมสุขภาพถึงการป้องกันการเกิดโรคมะเร็งทั้งในและต่างประเทศจำนวนมาก ด้วยเหตุผลที่ว่าพฤติกรรมเป็นสาเหตุส่วนหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง

โดยร่างกายของคนมีเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ถ้าร่างกายมีภูมิต้านทานที่ดี มีความสมบูรณ์แข็งแรงก็จะสารมารถต่อสู้กับโรคมะเร็งได้

สาเหุตสำคัญที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง ได้แก่ การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง มีสารพิษปลอมปน ไม่สะอาด มีสารก่อมะเร็ง รวมไปถึงความเครียด วิตกกังวล การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสารพิษหรือสารก่อมะเร็ง ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งทั้งสิ้น

ดังนั้นการป้องกันการเกิดมะเร็งที่ดี คือการเปลี่ยนการดำเนินชีวิตให้ดีขึ้น โดยเฉพาะการเลือกรับประทานอาหารที่เน้นอาหารธรรมชาติ มีเส้นใย (Fiber) สูง เช่น ผักพื้นบ้านที่อุดมไปด้วยวิตามิน เอ อี ซี ในปริมาณมาก เช่น ผักใบเขียว ผักตระกูลกะหล่ำ ตำลึง โหระพา ข่า กระเทียม หัวหอม มะระ เป็นต้น


นอกจากนี้ยังมีสมุนไพรหลายชนิดที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง และมีสารแอนติออกซิเดนต์ ได้แก่ ขมิ้นชัน กุยช่าย กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักคะน้า บร็อกโคลี มะแว้งเครือ มะแว้งต้น มังคุด หอมแดง กะเพรา โหระพา กระเทียม งา ชะเอม ดีปลี ขมิ้นอ้อย ตำลึง ขิง ตะไคร้ น้ำเต้า มะเขือเทศ มะเขือพวง มะระขี้นก และมะขามป้อม


ตะไคร้เป็นสมุนไพรชนิดหนึ่งที่นักชีวเคมี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่วิจัยพบว่า สามารถรักษาหรือป้องกันโรคมะเร็งได้

ตะไคร้มีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่พร้อมคิดค้นวิธีการสกัดและพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ชาสมุนไพรและแคปซูล อาหารเสริมต้านมะเร็ง จากการวิเคราะห์องค์ประกอบพบว่า สารสกัดจากตะไคร้นั้นมีสารสำคัญคือ Citral ที่มีฤทธิ์หยุดวงจรการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นการค้นพบครั้งแรกสำหรับคุณสมบัติข้อนี้ของตะไคร้เลยทีเดียว

สาร Citral ในตะไคร้ ได้รับการศึกษาในสัตว์ทดลองห้องปฏิบัติการ พบว่ามีศักยภาพในการป้องกันการสะสมของเนื้องอกและมะเร็ง รวมถึงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งระบบทางเดินอาหาร โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งตับ โรคมะเร็งผิวหนัง และประเภทอื่นๆ ของเนื้องอก

อีกทั้งตะไคร้ยังมีจำนวนขององค์ประกอบที่ใช้งานอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติเป็นยา ได้แก่ Geraniol และ Citronellol

การศึกษาบางส่วนมองว่าตะไคร้เป็นมากกว่าสารเคมี การศึกษาในหนูยังพบว่าตะไคร้ป้องกันการก่อตัวของเซลล์มะเร็งตับ นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่าตะไคร้ยับยั้งการก่อตัวของโรคมะเร็งในทางเดินอาหารบางอย่างด้วย

แม้ว่าขณะนี้ยังไม่สามารถพัฒนาสารสกัดจากตะไคร้ เพื่อนำมาใช้ป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือมะเร็งชนิดต่างๆ ได้ก็ตาม แต่ก็เป็นที่น่ายินดีว่าการค้นพบดังกล่าวแสดงให้เห้นว่าตะไคร้ ซึ่งเป้นพืชประจำครัวเรือนของคนไทย มีประสิทะิภาพป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ได้

จึงทำให้เชื่อว่าการที่คนไทยไม่ค่อยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เนื่องจากมีการนำตะไคร้ไปใช้เป็นเครื่องปรุงรสอาหารอยู่ด้วย

การรับประทานอาหารที่มีตะไคร้เป็นเครื่องปรุง จะทำให้ได้รับสารอาหารหลายชนิดจากตะไคร้ และตะไคร้ยังช่วยเพิ่มรสชาติอาหาร รวมทั้งผู้บริโภคยังได้รับสารที่ช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่อีกด้วย

ถือได้ว่าเป็นความโชคดีของคนไทยที่มีการรับประทานอาหารที่มีตะไคร้เป็นส่วนประกอบ ซึ่งถือว่าได้รับประทานอาหารและยาไปพร้อมๆ กัน จึงอยากให้คนไทยรุ่นใหม่หันมาสนใจและให้ความสำคัญกับสมุนไพรไทย เลือกรับประทานอาหารตามวิถึชีวิตของคนไทย ที่เน้นการรับประทานอาหารประเภทผัก อาหารจากธรรมชาติให้มากขึ้น จะทำให้ชีวิตปลอดภัยจากสารก่อมะเร็งและโรคต่างๆ





สุขภาพดี, ดูแลสุขภาพ

อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย

อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย

มะเร็งปากมดลูก มีอาการโดยมีเลือดออกจากช่องคลอดทั้งที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติ มีอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจวินิจฉัยทำได้โดยการขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจหาเชื้อมะเร็ง

มะเร็งในมดลูก อาการคือมีเลือดออกหลังจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อ หรือมีอาการบวมในช่องท้อง

มะเร็งรังไข่ อาการประจำเดือนมาไม่ปกติ มาไม่สม่ำเสมอ หรืออาการเจ็บปวดหลังมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้ มีอาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลลด และมีอาการปวดหลัง

มะเร็งในเม็ดเลือดขาว (ลูดีเมีย) มีอาการเหนื่อยง่าย และซีดเซียวกว่าปกติ มักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุ และมักจะเกิดร่วมกับอาการปวดตามข้อต่างๆ ทั่วร่างกาย บางครั้งมีอาการท้องอืด เมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง

มะเร็งปอด มักมีการไอบ่อยๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลาย น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว เจ็บบริเวณหน้าอก และหายใจลำบาก หรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

มะเร็งตับ อาการมักปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตาและผิวเป็นสีออกเหลืองถึงเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด

มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ เมื่อปัสสาวะจะมีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ รู้สึกปวดแสบเวลาปัสสาวะ

มะเร็งสมอง จะมีอาการปวดศีรษะนานๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียวๆ แดงๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง หรือเป็นลมกะทันหัน อวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงาน เช่น มีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว  ควรให้ความระมัดระวังเป็นพิเศษหากเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย

มะเร็งในช่องปาก มีก้อนบวมอยู่ในปากหรือที่่ลิ้นเป็นเวลานาน มีแผลเปื่อยในปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป้นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่เป็นประจำหรือนาน

มะเร็งในลำคอ มีอาการเสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในลำคอจะรู้สึกกลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถสัมผัสได้

มะเร็งในกระเพาะอาหาร น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว อาเจียนออกมาเป็นเลือด ท้องอืด อาหารไม่ค่อยย่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้อในช่องท้อง

มะเร็งทรวงอก มีเลือดหรือของเหลวไหลออกมาจากหัวนม บวม หรือ ผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้น มีก้อนจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป้นเวลานาน ควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คน จะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่า ซีสต์ ควรค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจน

มะเร็งลำไส้ น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว มีอาการปวดท้องอย่างมาก ระบบย่อยผิดปกติ มีเลือดปนออกมากับอุจจาระ

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย

มะเร็งผิวหนัง มีแผลหรือแผลเปื่อยผุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานาน ตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง

มะเร็งที่พบบ่อยในประเทศไทย ได้แก่ เพศชาย มักเป็นมะเร็งตับ มะเร็งปอด ส่วนเพศหญิงมักเป็นมะเร็งปากมดลูด และมะเร็งเต้านม


ดูแลสุขภาพ, สุขภาพดี

มะเร็ง คือ อะไร?

มะเร็ง คือ อะไร?

มะเร็ง คือ กลุ่มของโรคที่เกิดเนื่องจากเซลล์ของร่างกาย
มีความผิดปกติของ DNA หรือทางพันธุกรรม ส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโต 
มีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์อย่างรวดเร็วและมากกว่าปกติ 
ดังนั้นจึงอาจทำให้เกิดก้อนเนื้อผิดปกติ 
จนในที่สุดทำให้เกิดการตายของเซลล์ในก้อนเนื้อนั้น
เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงการเจริญเติบโตของหลอดเลือด

หากเซลล์มะเร็งพวกนี้อยู่ที่อวัยวะใดในร่างกายก็จะเรียกชื่อมะเร็งตามอวัยวะนั้น
เช่น มะเร็งปอด มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก
 มะเร็งเม้ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งตับ 
เป็นต้น

อาการของโรคมะเร็ง

1. ในช่วงแรกร่างกายจะไม่แสดงอาการใดๆ เนื่องจากเซลล์มะเร็งมีจำนวนน้อย

2. มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งตามสัญญาณอันตราย 9 ประการ ซึ่งควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจค้นหาโรคมะเร็งหรือสาเหตุอื่น เพื่อจะได้ทำการรักษาได้ทันท่วงทีก่อนที่จะกลายเป็นโรคมะเร็ง หรือป่วยเป็นมะเร็งระยะลุกลาม

3. มีอาการป่วยของโรคทั่วไป เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ร่างกายทรุดโทรม ไม่สดชื่นแจ่มใส

4. มีอาการที่บ่งบอกว่ามะเร็งอยู่ในระยะลุกลามหรือเป็นมากขึ้นอยู่กับว่าเป็นมะเร็งชนิดใด และมีการกระจายโรคอยู่ส่วนใดของร่างกาย ที่สำคัญที่สุดของอาการในกลุ่มนี้คือ มีอาการปวดมาก


สัญญาณอันตราย 9 ประการที่ทุกคนควรจะจำไว้เพื่อสุขภาพที่ดี

1. มีการเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ เช่น ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำหรือปัสสาวะเป็นเลือด

2. กลืนอาหารลำบาก หรือมีอาการเสียด แน่นท้องเป็นเวลานาน

3. มีอาการเสียงแหบและไอเรื้อรัง

4. มีเลือดหรือตกขาวที่ผิดปกติ เช่น มีกลิ่นเหม็น

5. แผลที่รักษาแล้วไม่ยอมหาย

6. มีการเปลี่ยนแปลงของหูดหรือไฝตามร่างกาย

7. มีก้อนที่เต้านมหรือส่วนต่างๆ ของร่างกาย

8. หูอื้อหรือมีเลือดกำเดาไหล

9. อยากนอนทั้งวัน นอนได้ตลอดเวลา ไม่มีเรี่ยวแรง

ยาสามัญประจำบ้าน

ยาสามัญประจำบ้าน



ควรมียาสามัญประจำบ้านเตรียมพร้อมติดไว้ในตู้ยาซึ่งเป็นตู้กระจก มองเห็นจากภายนอกได้ว่ามียาอะไรอยู่บ้าง เวลาประสบเหตุจะได้ช่วยเหลือสะดวกทันกาล

1. ยาแก้ปวดลดไข้ เช่น พาราเซตามอลชนิดเม็ดสำหรับผู้ใหญ่ และชนิดน้ำสำหรับเด็ก ยาแอสไพริน

2. ยาลดน้ำมูก เช่น คลอร์เฟนิรามีน

3. ยาแก้ไอ เช่น ยาอมมะแว้ง ยาแก้ไอน้ำดำ ยาแก้ไอน้ำเชื่อม

4. ยาดมแก้วิงเวียน แก้หวัด เช่น ยาหอม แอมโมเนียหอม น้ำมันยูคาลิปตัส

5. ยาระบาย เช่น ยาระบายแมกนีเซียม ดีเกลือ น้ำมันละหุ่ง ชามะขามแขก

6. ยาแก้ท้องอืด เช่น คาร์มิเนตีฟ ยาธาตุน้ำแดง เหล้าสะระแหน่ โซดามินต์ ทิงเจอร์มหาหิงคุ์

7. ยาแก้ท้องเสีย เช่น ผงน้ำตาลเกลือแร่ ยาซัลฟากัวนิดีน ยาน้ำเคาลินเปคติน

8. ยาลดกรด ยาเคลือบกระเพาะ เช่น อะลัมมิลค์ แมกนีเซียมไตรซิลิเกต รานิทิดีน ไซเมทิดีน

9. ยาหยอดตาแก้ตาอักเสบ ตาแดง ตาเจ็บ เช่น โบริกโซลูชั่น

10. ยาหยอดหูแก้หูน้ำหนวก ช่องหูอักเสบ

11. ยากวาดคอ รักษาอาการอักเสบช่องปากและคอ

12. ยาแก้แพ้ ผดผื่นคัน แพ้อากาศ เช่น คลอร์เฟนิรามีน บรอมเฟนิรามีน

13. ยาแก้ปวดเมื่อย เช่น ยาหม่อง ยานวดคลายกล้ามเนื้อ น้ำมันระกำ

14. ยาใส่แผลมี 2 ชนิดคือใส่แผลสด หรือใส่แผลเรื้อรัง ใส่แผลสด เช่น เบตาดีน ยาแดง ขี้ผึ้งซัลฟา ทิงเจอร์ไอโอดีน สำหรับใส่แผลเรื้อรัง เช่น ขี้ผึ้งซัลฟา ยาเหลือง


ยาบางชนิดต้องเก็บไว้ในตู้เย็น ควรอ่านฉลากก่อนเก็บ ก่อนใช้ ควรสำรองยาสามัญในปริมาณที่พอเหมาะกับจำนวนสมาชิกในครอบครัว ยาน้ำขวดกลางหรือขวดเล็กหนึ่งขวดก็พอ และควรอย่างยิ่งที่จะตรวจสอบเป็นระยะว่ายาหมดอายุหรือยัง ยาบางชนิดอายุสั้นหลังเปิดใช้ไม่กี่วันก็ต้องทิ้งไป เช่น ยาหยอดตาเปิดใช้ได้เพียง 28 วัน หลังจากนั้นต้องทิ้งไปไม่ว่ายาจะอยู่ในสภาพดีเพียงใด

บางครั้งยาเสีย เสื่อมสภาพก่อนวันหมดอายุโดยดูได้จากสีของยา กลิ่น หรือรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป ดังนี้

1. เม็ดยาเกิดแตกร่วนหรือผิวสึกกร่อน

2. เม็ดยาเปลี่ยนสีจางลงหรือเข้มขึ้นหรือสีไม่สม่ำเสมอ

3. ความมันวาวที่เคลือบเม็ดยาหายไป

4. มีกลิ่นยาเปลี่ยนไป

5. แคปซูลบวมหรือมีฝ้าขาว แตก เหนียวติดกัน หรือเป็นก้อนแข็งข้างใน

6. ยาน้ำใสกลายเป็นมีตะกอน

7. ยาน้ำที่เปลี่ยนแข็งตัวเป็นก้อน

8. ยาแขวนตะกอนเขย่าแล้วไ่ม่รวมตัวเป็นเนื้อเดียว มีก้อนแข็ง หรือตกตะกอนเร็วกว่าปกติ หรือขุ่นข้นกว่าเดิม

9. ยาผงที่จับตัวเป็นก้อน

10. ยาครีมขี้ผึ้งที่ข้นหรือเหลวกว่าเดิม หรือมีคราบน้ำมันสีเหลืองออกจากครีม

11. ถ้ายาหมดอายุแต่รูปลักษณ์มายังดีอยู่ก็ควรทิ้งไปด้วย

คู่มือปฐมพยาบาล (มะปราง)

คอลลาเจน คืออะไร

คอลลาเจน คืออะไร?

         คอลลาเจน ถูกค้นพบครั้งแรกในชวงกลางปี ค.ศ.1930 การค้นพบโครงสร้างของโมเลกุลในครั้งนั้น ทำให้ผู้ค้นพบได้รับรางวัลโนเบลเลยทีเดียว หลังจากการค้นคว้สวิจัยอย่างนาวนาน ในที่สุดรูปแบบของคอลลาเจนที่ได้รับการยอมรับก็คือ รูปแบบ “ฝ้าย” ในลักษณะคล้ายกับขดลวดสามขดเกลียวเข้าหากัน
         คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่ถูกสร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโนในร่างกายของมนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ที่เลี้ยงลูกด้วยนม ปริมาณของ คอลลาเจน ในร่างกายจะมีอยู่ที่ประมาณ 25-35% ของโปรตีนในร่างกาย โดยคอลลาเจนมีโครงสร้างที่เรียกได้ว่าแข็งแรงมาก สามารถพบได้ทั่วไปภายในร่างกายตามกระดูก รวมไปถึงเส้นเอ็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่ทำหน้าที่ช่วยทำให้ผิวมีความกระชับ อ่อนนุ่ม ความยืดหยุ่น และช่วยในการต่ออายุของเซลล์ผิวให้เสื่อมสภาพช้าลง นอกจากนี้ คอลลาเจน ยังมีอยู่ในทุกเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด ระบบทางเดินอาหาร หัวใจ ถุงน้ำดี ไต กระเพาะปัสสาวะ และคอลลาเจน ยังเป็นองค์ประกอบหลักของเส้นผม เล็บมืออีกด้วย

Image result for คอลลาเจน

หน้าที่สำคัญของคอลลาเจน?

         คอลลาเจน เป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้างต่างๆของร่างกาย และยังทำหน้าที่ช่วยปกป้องโครงสร้างของผิว จากการถูกทำร้ายโดยแสงแดด มลพิษจากสิ่งแวดล้อม และสารพิษอื่นๆที่ก่อใหเกิดโรคทางผิวหนัง เป็นต้น

         เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น การผลิตคอลลาเจนก็จะเริ่มลดน้อยลงตามไปด้วย เมื่อผิวได้รับความเสียหายในช่วงเวลานั้น จะทำให้เกิดความเสียหายต่อชั้นผิวได้ง่าย เซลล์ที่เสียหาย และเสื่อมสภาพ จะทำให้เกิดริ้วรอยที่ผิวหนัง และความเสียหายในเส้นใยเอ็น ความยืดหยุ่นของข้อต่อลดน้อยลง เป็นต้น

ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวของคอลลาเจน ทำให้การเติมเต็มคอลลาเจนในร่างกาย ให้มีความสมบูรณ์อยู่เสมอนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะคอลลาเจนนอกจากจะช่วยบำรุงผิวพรรณให้แข็งแรงปราศจากริ้วรอยแล้ว คอลลาเจนยังมีส่วนสำคัญอย่างมาก ในการเสริมสร้างอวัยวะต่างๆ ให้มความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบัน เราสามารถรับคอลลาเจนเสริมเพิ่มเติมได้จากการทานอาหาร ที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนประเภทต่างๆ หรือในบางครั้ง การเสริมคอลลาเจน โดยวิธีการรับประทานอาหารเสริมนั้น ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดี สำหรับคนที่ไม่มีเวลาไปหาซื้อ ตามหาอาหารที่มีส่วนประกอบของคอลลาเจนจำนวนมากๆ ได้เช่นกัน

Image result for คอลลาเจน

         ด้วยสภาพของสังคมที่เต็มไปด้วยมลภาวะในปัจจุบัน ทำให้ผิวพรรณ ค่อยๆถูกทำลายลงไปทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว แต่ ณ ปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ และความรู้ต่างๆ ทำให้คุณสามารถที่จะป้องกัน และบำรุงฟื้นฟูสุขภาพของผิวพรรณที่ถูกทำร้ายจนหมองคล้ำ ให้กลับมามีสุขภาพที่ดีได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ด้วยเพียงแค่การทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมวิตามินซี เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอเท่านั้นเอง


https://www.ovolva.com