มะเร็ง คือ อะไร?

มะเร็ง คือ อะไร?

มะเร็ง คือ กลุ่มของโรคที่เกิดเนื่องจากเซลล์ของร่างกาย
มีความผิดปกติของ DNA หรือทางพันธุกรรม ส่งผลให้เซลล์มีการเจริญเติบโต 
มีการแบ่งตัวเพื่อเพิ่มจำนวนเซลล์อย่างรวดเร็วและมากกว่าปกติ 
ดังนั้นจึงอาจทำให้เกิดก้อนเนื้อผิดปกติ 
จนในที่สุดทำให้เกิดการตายของเซลล์ในก้อนเนื้อนั้น
เนื่องจากขาดเลือดไปเลี้ยงการเจริญเติบโตของหลอดเลือด

หากเซลล์มะเร็งพวกนี้อยู่ที่อวัยวะใดในร่างกายก็จะเรียกชื่อมะเร็งตามอวัยวะนั้น
เช่น มะเร็งปอด มะเร็งสมอง มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก
 มะเร็งเม้ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งตับ 
เป็นต้น

อาการของโรคมะเร็ง

1. ในช่วงแรกร่างกายจะไม่แสดงอาการใดๆ เนื่องจากเซลล์มะเร็งมีจำนวนน้อย

2. มีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งตามสัญญาณอันตราย 9 ประการ ซึ่งควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจค้นหาโรคมะเร็งหรือสาเหตุอื่น เพื่อจะได้ทำการรักษาได้ทันท่วงทีก่อนที่จะกลายเป็นโรคมะเร็ง หรือป่วยเป็นมะเร็งระยะลุกลาม

3. มีอาการป่วยของโรคทั่วไป เช่น อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ร่างกายทรุดโทรม ไม่สดชื่นแจ่มใส

4. มีอาการที่บ่งบอกว่ามะเร็งอยู่ในระยะลุกลามหรือเป็นมากขึ้นอยู่กับว่าเป็นมะเร็งชนิดใด และมีการกระจายโรคอยู่ส่วนใดของร่างกาย ที่สำคัญที่สุดของอาการในกลุ่มนี้คือ มีอาการปวดมาก


สัญญาณอันตราย 9 ประการที่ทุกคนควรจะจำไว้เพื่อสุขภาพที่ดี

1. มีการเปลี่ยนแปลงของระบบขับถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ เช่น ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำหรือปัสสาวะเป็นเลือด

2. กลืนอาหารลำบาก หรือมีอาการเสียด แน่นท้องเป็นเวลานาน

3. มีอาการเสียงแหบและไอเรื้อรัง

4. มีเลือดหรือตกขาวที่ผิดปกติ เช่น มีกลิ่นเหม็น

5. แผลที่รักษาแล้วไม่ยอมหาย

6. มีการเปลี่ยนแปลงของหูดหรือไฝตามร่างกาย

7. มีก้อนที่เต้านมหรือส่วนต่างๆ ของร่างกาย

8. หูอื้อหรือมีเลือดกำเดาไหล

9. อยากนอนทั้งวัน นอนได้ตลอดเวลา ไม่มีเรี่ยวแรง

ยาสามัญประจำบ้าน

ยาสามัญประจำบ้าน



ควรมียาสามัญประจำบ้านเตรียมพร้อมติดไว้ในตู้ยาซึ่งเป็นตู้กระจก มองเห็นจากภายนอกได้ว่ามียาอะไรอยู่บ้าง เวลาประสบเหตุจะได้ช่วยเหลือสะดวกทันกาล

1. ยาแก้ปวดลดไข้ เช่น พาราเซตามอลชนิดเม็ดสำหรับผู้ใหญ่ และชนิดน้ำสำหรับเด็ก ยาแอสไพริน

2. ยาลดน้ำมูก เช่น คลอร์เฟนิรามีน

3. ยาแก้ไอ เช่น ยาอมมะแว้ง ยาแก้ไอน้ำดำ ยาแก้ไอน้ำเชื่อม

4. ยาดมแก้วิงเวียน แก้หวัด เช่น ยาหอม แอมโมเนียหอม น้ำมันยูคาลิปตัส

5. ยาระบาย เช่น ยาระบายแมกนีเซียม ดีเกลือ น้ำมันละหุ่ง ชามะขามแขก

6. ยาแก้ท้องอืด เช่น คาร์มิเนตีฟ ยาธาตุน้ำแดง เหล้าสะระแหน่ โซดามินต์ ทิงเจอร์มหาหิงคุ์

7. ยาแก้ท้องเสีย เช่น ผงน้ำตาลเกลือแร่ ยาซัลฟากัวนิดีน ยาน้ำเคาลินเปคติน

8. ยาลดกรด ยาเคลือบกระเพาะ เช่น อะลัมมิลค์ แมกนีเซียมไตรซิลิเกต รานิทิดีน ไซเมทิดีน

9. ยาหยอดตาแก้ตาอักเสบ ตาแดง ตาเจ็บ เช่น โบริกโซลูชั่น

10. ยาหยอดหูแก้หูน้ำหนวก ช่องหูอักเสบ

11. ยากวาดคอ รักษาอาการอักเสบช่องปากและคอ

12. ยาแก้แพ้ ผดผื่นคัน แพ้อากาศ เช่น คลอร์เฟนิรามีน บรอมเฟนิรามีน

13. ยาแก้ปวดเมื่อย เช่น ยาหม่อง ยานวดคลายกล้ามเนื้อ น้ำมันระกำ

14. ยาใส่แผลมี 2 ชนิดคือใส่แผลสด หรือใส่แผลเรื้อรัง ใส่แผลสด เช่น เบตาดีน ยาแดง ขี้ผึ้งซัลฟา ทิงเจอร์ไอโอดีน สำหรับใส่แผลเรื้อรัง เช่น ขี้ผึ้งซัลฟา ยาเหลือง


ยาบางชนิดต้องเก็บไว้ในตู้เย็น ควรอ่านฉลากก่อนเก็บ ก่อนใช้ ควรสำรองยาสามัญในปริมาณที่พอเหมาะกับจำนวนสมาชิกในครอบครัว ยาน้ำขวดกลางหรือขวดเล็กหนึ่งขวดก็พอ และควรอย่างยิ่งที่จะตรวจสอบเป็นระยะว่ายาหมดอายุหรือยัง ยาบางชนิดอายุสั้นหลังเปิดใช้ไม่กี่วันก็ต้องทิ้งไป เช่น ยาหยอดตาเปิดใช้ได้เพียง 28 วัน หลังจากนั้นต้องทิ้งไปไม่ว่ายาจะอยู่ในสภาพดีเพียงใด

บางครั้งยาเสีย เสื่อมสภาพก่อนวันหมดอายุโดยดูได้จากสีของยา กลิ่น หรือรูปลักษณ์ที่เปลี่ยนไป ดังนี้

1. เม็ดยาเกิดแตกร่วนหรือผิวสึกกร่อน

2. เม็ดยาเปลี่ยนสีจางลงหรือเข้มขึ้นหรือสีไม่สม่ำเสมอ

3. ความมันวาวที่เคลือบเม็ดยาหายไป

4. มีกลิ่นยาเปลี่ยนไป

5. แคปซูลบวมหรือมีฝ้าขาว แตก เหนียวติดกัน หรือเป็นก้อนแข็งข้างใน

6. ยาน้ำใสกลายเป็นมีตะกอน

7. ยาน้ำที่เปลี่ยนแข็งตัวเป็นก้อน

8. ยาแขวนตะกอนเขย่าแล้วไ่ม่รวมตัวเป็นเนื้อเดียว มีก้อนแข็ง หรือตกตะกอนเร็วกว่าปกติ หรือขุ่นข้นกว่าเดิม

9. ยาผงที่จับตัวเป็นก้อน

10. ยาครีมขี้ผึ้งที่ข้นหรือเหลวกว่าเดิม หรือมีคราบน้ำมันสีเหลืองออกจากครีม

11. ถ้ายาหมดอายุแต่รูปลักษณ์มายังดีอยู่ก็ควรทิ้งไปด้วย

คู่มือปฐมพยาบาล (มะปราง)

คอลลาเจน คืออะไร

คอลลาเจน คืออะไร?

         คอลลาเจน ถูกค้นพบครั้งแรกในชวงกลางปี ค.ศ.1930 การค้นพบโครงสร้างของโมเลกุลในครั้งนั้น ทำให้ผู้ค้นพบได้รับรางวัลโนเบลเลยทีเดียว หลังจากการค้นคว้สวิจัยอย่างนาวนาน ในที่สุดรูปแบบของคอลลาเจนที่ได้รับการยอมรับก็คือ รูปแบบ “ฝ้าย” ในลักษณะคล้ายกับขดลวดสามขดเกลียวเข้าหากัน
         คอลลาเจน เป็นโปรตีนที่ถูกสร้างขึ้นมาจากกรดอะมิโนในร่างกายของมนุษย์ และสัตว์ต่างๆ ที่เลี้ยงลูกด้วยนม ปริมาณของ คอลลาเจน ในร่างกายจะมีอยู่ที่ประมาณ 25-35% ของโปรตีนในร่างกาย โดยคอลลาเจนมีโครงสร้างที่เรียกได้ว่าแข็งแรงมาก สามารถพบได้ทั่วไปภายในร่างกายตามกระดูก รวมไปถึงเส้นเอ็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ที่ทำหน้าที่ช่วยทำให้ผิวมีความกระชับ อ่อนนุ่ม ความยืดหยุ่น และช่วยในการต่ออายุของเซลล์ผิวให้เสื่อมสภาพช้าลง นอกจากนี้ คอลลาเจน ยังมีอยู่ในทุกเนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อเรียบของหลอดเลือด ระบบทางเดินอาหาร หัวใจ ถุงน้ำดี ไต กระเพาะปัสสาวะ และคอลลาเจน ยังเป็นองค์ประกอบหลักของเส้นผม เล็บมืออีกด้วย

Image result for คอลลาเจน

หน้าที่สำคัญของคอลลาเจน?

         คอลลาเจน เป็นสิ่งจำเป็นที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับโครงสร้างต่างๆของร่างกาย และยังทำหน้าที่ช่วยปกป้องโครงสร้างของผิว จากการถูกทำร้ายโดยแสงแดด มลพิษจากสิ่งแวดล้อม และสารพิษอื่นๆที่ก่อใหเกิดโรคทางผิวหนัง เป็นต้น

         เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น การผลิตคอลลาเจนก็จะเริ่มลดน้อยลงตามไปด้วย เมื่อผิวได้รับความเสียหายในช่วงเวลานั้น จะทำให้เกิดความเสียหายต่อชั้นผิวได้ง่าย เซลล์ที่เสียหาย และเสื่อมสภาพ จะทำให้เกิดริ้วรอยที่ผิวหนัง และความเสียหายในเส้นใยเอ็น ความยืดหยุ่นของข้อต่อลดน้อยลง เป็นต้น

ด้วยคุณสมบัติดังกล่าวของคอลลาเจน ทำให้การเติมเต็มคอลลาเจนในร่างกาย ให้มีความสมบูรณ์อยู่เสมอนั้นมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะคอลลาเจนนอกจากจะช่วยบำรุงผิวพรรณให้แข็งแรงปราศจากริ้วรอยแล้ว คอลลาเจนยังมีส่วนสำคัญอย่างมาก ในการเสริมสร้างอวัยวะต่างๆ ให้มความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ซึ่งในปัจจุบัน เราสามารถรับคอลลาเจนเสริมเพิ่มเติมได้จากการทานอาหาร ที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนประเภทต่างๆ หรือในบางครั้ง การเสริมคอลลาเจน โดยวิธีการรับประทานอาหารเสริมนั้น ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดี สำหรับคนที่ไม่มีเวลาไปหาซื้อ ตามหาอาหารที่มีส่วนประกอบของคอลลาเจนจำนวนมากๆ ได้เช่นกัน

Image result for คอลลาเจน

         ด้วยสภาพของสังคมที่เต็มไปด้วยมลภาวะในปัจจุบัน ทำให้ผิวพรรณ ค่อยๆถูกทำลายลงไปทีละน้อยโดยไม่รู้ตัว แต่ ณ ปัจจุบัน ด้วยความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ และความรู้ต่างๆ ทำให้คุณสามารถที่จะป้องกัน และบำรุงฟื้นฟูสุขภาพของผิวพรรณที่ถูกทำร้ายจนหมองคล้ำ ให้กลับมามีสุขภาพที่ดีได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ด้วยเพียงแค่การทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริมวิตามินซี เป็นประจำอย่างสม่ำเสมอเท่านั้นเอง


https://www.ovolva.com