อาหารปลอดภัย

อาหารปลอดภัย



อาหารปนเปื้อนเกิดขึ้นจากใครบ้าง? 

หลายคนอาจมุ่งไปที่ผู้ผลิตอาหารเพื่อขาย โดยมักไม่คำนึงว่าตนเองคือผู้ที่เลือกบริโภค ทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยขึ้น หลายคนเลี่ยงแล้วแต่หนีไม่พ้นเพราะดูไม่ออก

อาหารจะปลอดภัยหรือไม่ขึ้นอยู่กับผู้ผลิต เช่น เกษตรกรผู้ปลูกพืช ผัก ผลไม้ ไม่ใช้ยาฆ่าแมลงมากเกินไป ไม่ใช้สารอันตรายกระตุ้นผลผลิต หรือใช้วิธีการถนอมอาหารสดที่ไม่ถูกต้อง ส่วนเกษตรที่เลี้ยงหมู ไก่ ปลา กุ้ง หอย ไม่ควรใช้ฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโตของสัตว์เพราะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภค ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะมากเกินไป ไม่ใช้ยาต้องห้าม ดูแลอาหารสัตว์ไม่ให้มีเชื้อราปนเปื้อน เป็นต้น



อาหารจะปลอดภัยหรือไม่ขึ้นอยู่กับความรู้และคุณธรรมของผู้แปรรูปอาหาร พ่อค้า แม่ค้า ที่ปรุงอาหารสำเร็จไว้ขายให้คนได้ซื้อหา ไม่ว่าจะทำลูกชิ้นโดยไม่ใส่สารบอแรกซ์ ทำเนื้อแดดเดียว ทำแหนมโดยใส่ปริมาณดินประสิวไม่เกินกำหนด ทำขนมหวานหลากสีโดยใช้สีที่ปลอดภัย ใช้ภาชนะบรรจุอาหารให้ถูกประเภท เป็นต้น

อาหารจะปลอดภัยหรือไม่ขึ้นกับความรู้ของผู้บริโภคด้วย รู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีความปลอดภัย ปรุงอาหารให้ถูกสุขลักษณะ เช่น ไ่ม่ใช้น้ำมันทอดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นต้น



หากผู้บริโภคมีความรู้ในการเลือกซื้ออาหารที่ปลอดสารพิษเข้าสู่รางกายได้ดีแล้ว โอกาสที่จะได้รับสารพิษก็จะน้อยลง หรือแทบจะไม่มีอันตราย ควรใส่ใจข่าวสารสุขภาพจากสื่อต่างๆ วิทยุ โทรทัศน์ หนังสือ และการให้ความรู้ของทางราชการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรู้เท่าทันเหตุการณ์ในยุคปัจจุบัน



อาหารปลอดภัย ชีวิตปลอดภัย
non toxic FOOD
safe & secure


สุขภาพดี, ดูแลสุขภาพ

กินเบอร์รี่แล้วสุขภาพดี



มากินเบอร์รี่กันเถิดจะเกิดผล (ไทยโพสต์)

          เบอร์รี่ที่เรารู้จักมีมากมายหลายสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็นสตรอว์เบอร์รี่, บลูเบอร์รี่, มัลเบอร์รี่ และเชอร์รี่ลูกสีแดงสดหน้าตาน่ากิน รสชาติเปรี้ยวนิด ๆ หวานหน่อย ๆ แต่จะมีใครทราบบ้างว่าเบอร์รี่มีประโยชน์มากกว่าหน้าตา และรสชาติมากขนาดไหน ภญ.ดร.จิรพันธ์ ม่วงเจริญ ที่ปรึกษาด้านผิวพรรณของ เจอเนสส์ โกลบอล (ประเทศไทย) จะมาแนะเคล็ดลับสุขภาพดีแบบฉบับเบอร์รี่ให้ได้ทราบกัน


ต้านหวัดได้ผลเกินร้อย 
    
          เพราะผลไม้ในตระกูลเบอร์รี่นั้นขึ้นชื่อว่าอุดมไปด้วยวิตามินซีที่ช่วยในเรื่องของการป้องกันโรคหวัด และยังช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้สดใส เปล่งปลั่ง และแก้มแดงมีเลือดฝาด มักพบมากในสตรอว์เบอร์รี่, บลูเบอร์รี่, แครนเบอร์รี่ และเชอร์รี่ ดังนั้นถ้าใครเป็นหวัดอยู่ล่ะก็ แนะนำให้รีบหาเบอร์รี่มากินต้านหวัดกันด่วน

แบล็กเคอร์แรนต์

บำรุงสายตาให้สดใสบริ๊งค์ ๆ 
    
          เพราะสารแอนโธไซยานินที่พบมากในเบอร์รี่หลาย ๆ ชนิด เช่น สตรอว์เบอร์รี่, ราสป์เบอร์รี, เชอร์รี่ เป็นต้น มีส่วนช่วยในการป้องกันอาการอ่อนล้าจากการใช้สายตาอย่างหนัก และช่วยให้สายตาทำงานได้ดีขึ้นในที่มืด โดยเฉพาะในแบล็กเคอร์แรนต์ที่ช่วยให้จอตารับภาพในเวลากลางคืนได้ชัดขึ้น และอาซาอิเบอร์รี่ช่วยปกป้องการเสื่อมของเลนส์ตาและจอประสาทตา 

เพิ่มระบบภูมิต้านทาน 

          เบอร์รี่เป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินมากมาย เช่น A, B, C, E, K และโพแทสเซียม ฯลฯ ที่ร่างกายต้องการเพื่อช่วยให้เซลล์ในร่างกายสามารถซ่อมแซมตัวเองจากโรคต่าง ๆ ได้ดีขึ้น ทั้งการรักษาบาดแผล การป้องกันโรคมะเร็ง ลดการเป็นโรคลักปิดลักเปิด ตลอดจนโรคเกาต์หรืออาการปวดตามข้อ 

          อีกทั้งเบอร์รี่ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง โดยพบมากที่สุดในบลูเบอร์รี่ ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ให้ดียิ่งขึ้น ลดการอักเสบของหลอดเลือดอันเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ โรคทางประสาทและสมอง ตลอดจนสารสีแดงในเบอร์รี่ช่วยต้านความเสื่อมของร่างกายและชะลอความชรา ฟื้นฟูการสร้างคอลลาเจนในผิว ช่วยให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์ ริ้วรอยดูลบเลือนลง ให้ผิวแลดูอ่อนกว่าวัย

เสริมความจำให้แม่นยำ 
    
          นอกจากสารต้านอนุมูลอิสระในเบอร์รี่จะช่วยในเรื่องของผิวพรรณแล้ว ยังช่วยในเรื่องของระบบประสาทด้วย โดยจะช่วยให้เซลล์สมองสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น ทำให้ความสามารถในการจำของเราดีขึ้น ดังนั้นใครที่ขี้หลงขี้ลืมลองกินเบอร์รี่เป็นประจำดูสิ


สตรอว์เบอร์รี่

ควบคุมน้ำหนักได้ผลเกินคาด
   
          เหมาะสำหรับสาว ๆ ที่กำลังหาวิธีควบคุมน้ำหนักหรือลดความอ้วนง่าย ๆ แต่ได้ผล แนะนำให้ทานสตรอว์เบอร์รี่และบลูเบอร์รี่  เพราะแหล่งพลังงานชั้นยอดที่มีแคลอรี่ต่ำ ช่วยเพิ่มความสดชื่น กระปรี้กระเปร่าให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี โดยไม่ทำให้น้ำหนักขึ้นตาม เพราะเส้นใยอาหารในสตรอว์เบอร์รี่ช่วยให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มนานกว่าเดิม ช่วยในระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายของร่างกายให้ทำงานได้เป็นระบบมากขึ้น ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ อีกทั้งในบลูเบอร์รี่ยังมีสารเพคตินที่ช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอล ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยล้างพิษในร่างกายให้รู้สึกสดชื่น ผิวพรรณผ่องใส 

แครนเบอร์รี่

ต้านโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ

          โดยเฉพาะในแครนเบอร์รี่ที่สามารถป้องกันโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบได้มากกว่าเบอร์รี่ตัวอื่น ๆ เพราะมันสามารถป้องกันเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า อีโคไลน์ ต้นต่อของโรค รวมทั้งมีสารแทนนินที่มีส่วนช่วยหยุดการสะสมตัวและการเกาะตัวของแบคทีเรียในบริเวณผนังทางเดินปัสสาวะอันเป็นบ่อเกิดของโรคได้ 
    

          **** เห็นไหมล่ะว่าเบอร์รี่ที่เรากินกันอยู่บ่อย ๆ มีประโยชน์มากแค่ไหน 
ยิ่งสาว ๆ ที่ควบคุมปริมาณแคลอรี่ด้วยแล้วยิ่งต้องรีบหาเบอร์รี่มาติดบ้านไว้
เป็นที่สุดนะจะบอกให้ ++++


http://health.kapook.com/view69654.html

“ไขมันทรานส์” ที่สุดของไขมันอันตราย

“ไขมันทรานส์” ที่สุดของไขมันอันตราย

ไขมันทรานส์ เป็นกรดไขมันที่เกิดจากกระบวนการแปรรูปกรดไขมันไม่อิ่มตัวให้กลายเป็นกรดไขมันอิ่มตัวสูง ตัวอย่างเช่นการทำน้ำมันพืช จะมีการเติมไฮโดรเจนลงไปในน้ำมันพืช เรียกว่า กระบวนการไฮโดรจีเนชั่น (Hy drogenat ion) เช่น น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง หรือแม้กระทั่งการแปรรูปให้มีลักษณะเป็นกึ่งของแข็ง เช่น มาร์การีนหรือเนยเทียม เนยขาว ครีมเทียม เป็นต้น โดยวัตถุดิบเหล่านี้จะมีชื่อบนฉลากอาหาร คือ กรดไขมันชนิดทรานส์ หรือ Hydrogenated Oil หรือ Partially Hydrogenated Oil
เหตุที่มีการนำไขมันไปเปลี่ยนเป็นไขมันทรานส์ ก็เนื่องจากไขมันทรานส์สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานโดยไม่เหม็นหืน ไม่เป็นไข ทนความร้อนได้สูง และมีรสชาติใกล้เคียงกับไขมันจากสัตว์ แต่จะมีราคาที่ถูกกว่า บรรดาผู้ประกอบกิจการอาหารต่าง ๆ มักนิยมนำไขมันทรานส์มาใช้ประกอบอาหารมากมาย เพื่อประโยชน์ในการลดต้นทุนการผลิตลง เช่น กลุ่มอาหารฟาสต์ฟูดซึ่งใช้เป็นน้ำมันสำหรับทอดไก่ มันฝรั่ง โดนัท หรือการนำมาใช้ในการประกอบกิจการเบเกอรี่ ขนมขบเคี้ยว ครีมเทียม และวิปปิ้งครีม เป็นต้น


มาดูกันต่อคะว่า การทานอาหารที่มีไขมันทรานส์มากๆ จะส่งผลอย่างไรต่อร่างกายบ้าง
การที่เราทานอาหารที่มีกรดไขมันทรานส์มากๆ จะมีผลต่อการทำงานของเอนไซม์ Cholesterol Acyltranferase ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญในการเมตาบอลิซึมของคอเลสเตอรอล ทำให้ระดับ LDL ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดเลวในเลือดเพิ่มขึ้น และลดระดับ HDL ซึ่งเป็นคอเลสเตอรอลชนิดดีในเลือด
และเนื่องจากไขมันทรานส์เป็นไขมันที่เกิดจากการแปรรูป จึงย่อยสลายได้ยากกว่าไขมันชนิดอื่น ทำให้ตับต้องสลายไขมันทรานส์ด้วยวิธีการที่แตกต่างไปจากการย่อยสลายไขมันตัวอื่น จึงอาจก่อให้เกิดสภาวะที่ผิดปกติกับร่างกาย คือ จะทำให้ร่างกายมีน้ำหนักและไขมันส่วนเกินเพิ่มมากขึ้น มีภาวะการทำงานของตับที่ผิดปกติ มีความเสี่ยงสูงที่จะป่วยเป็นโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน และโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดโดยความเสี่ยงที่กล่าวมานี้ ล้วนเป็นผลจากงานวิจัยหลายชิ้นที่ศึกษาถึงเรื่องไขมันทรานส์

ถึงตอนนี้ จะพูดว่าไขมันทรานส์ ได้กลายเป็นศัตรูตัวร้ายอันดับต้นๆ ของคนรักสุขภาพทั่วโลกก็ว่าได้นะคะ อย่างในหลายๆ ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ มีการออกข้อบังคับเกี่ยวกับการระบุปริมาณไขมันทรานส์บนฉลากโภชนาการ และให้คำแนะนำแก่ประชาชนในการจำกัดการบริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์
นอกจากนี้ บางรัฐในสหรัฐอเมริกา เช่น นิวยอร์กได้ออกมาประกาศว่าจะเป็นรัฐแรกในสหรัฐอเมริกาที่ปลอดไขมันทรานส์ โดยออกมาตรการให้บรรดาร้านอาหาร ภัตตาคาร และผู้ประกอบการด้านอาหารทั้งหลาย ค่อยๆ ลดการใช้ไขมันชนิดนี้ในการปรุงอาหาร และหยุดใช้โดยเด็ดขาดทั่วทั้งนิวยอร์กภายในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา แต่น่าเสียใจสำหรับคนไทย เพราะบ้านเรายังไม่มีมาตรการทางกฎหมาย มาควบคุมการใช้หรือบังคับให้ระบุปริมาณไขมันทรานส์บนฉลากโภชนาการ

ผู้บริโภคที่ใส่ใจและรักสุขภาพ จึงควรดูแลตนเอง โดยระมัดระวังเรื่องทานอาหาร หลีกเลี่ยงที่มีปริมาณไขมันทรานส์เยอะ เช่น อาหารประเภทของทอด (ไก่ทอด, เฟรนซ์ฟรายส์ , นักเก็ต) ซึ่งมักใช้น้ำมันทอดซ้ำๆ จนหนืด รวมทั้งแฮมเบอเกอร์ หรือขนมขบเคี้ยวที่เก็บไว้นานๆ แต่ก็ยังกรุบกรอบ นอกจากนี้ยังรวมถึงอาหารที่มีส่วนประกอบของเนยขาวและมาร์การีน อาทิ คุ้กกี้ พาย พัฟ หรือขนมขบเคี้ยวชนิดแท่งด้วย

ทราบอย่างนี้แล้วก็ ปรับรูปแบบการทานกันใหม่นะคะ ใครที่ชอบทานกลุ่มอาหารดังที่ได้กล่าวมา ก็ควรจะค่อยๆ ปรับและลดปริมาณลง ใส่ใจกับการเลือกรับประทานกันดีกว่า เพื่อสุขภาพของเราเอง และคนที่เรารัก อย่าลืมประโยคสำคัญที่ว่า You are what you eat กันล่ะ.

อ้างอิงข้อมูลบางส่วนจาก http://www.thaihealth.or.th/

กินโยเกิร์ตเพื่อสุขภาพ


โยเกิร์ต นมเปรี้ยวที่คนไทยรู้จักในรูปแบบต่างๆ อาจจะไม่ใช่นมเปรี้ยวที่เรากำลังจะกล่าวถึงเพราะ โยเกิร์ตหรือนมเปรี้ยวที่ดีจะต้องมีแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตอยู่ จุดประสงค์ของการรับประทานนมเปรี้ยวที่ถูกต้องคือ การรับประทานแบคทีเรียที่ยังมีชีวิตจำนวนมาก(ประมาณหมื่นล้านตัวต่อกรัม)เพื่อหวังผลต่อสุขภาพ
ส่วนนมเปรี้ยวที่เราหาซื้อกันในท้องตลาดทำขึ้นโดยมีการปรุงแต่งรสชาติให้อร่อย บางชนิดไม่สมควรเรียกว่าโยเกิร์ตเสียด้วยซ้ำเพราะนำไปพาสเจอร์ไรซ์(ฆ่าเชื้อที่อุณหภูมิสูง)และนำมาบรรจุกล่อง ที่จริงน่าจะเรียกว่าซากโยเกิร์ต บางชนิดก็มีการใส่น้ำตาลมากจนน่าสงสัยว่าท่านจะได้ประโยชน์ได้เต็มที่หรือไม่ บางชนิดก็มีการเจือจางจนปริมาณแบคทีเรียดีๆเหลืออยู่น้อยมาก

แบคทีเรียที่ดีในโยเกิร์ต ได้แก่ แลคโตบาซิลัส เอซิโดฟิลลัส (Lactobacillus acidophillus) แลคโตบาซิลัส บัลการิคัส (Lactobacillus bulgaricus) และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส (Streptococcus thermophillus)
โยเกิร์ตสามารถทำได้จากนมชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นมสด นมพร่องมันเนย หรือ นมถั่วเหลือง โดยการใช้แบคทีเรีย แลคโตบาซิลัส เอซิโดซิส และ สเตรปโตคอคคัส เทอร์โมฟิลลัส เป็นหลักใส่ลงไปหมักผลิตภัณฑ์นมต่างๆ แบคทีเรียเหล่านี้ช่วยย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมให้เป็นกรดแลคติคทำให้มีภาวะกรดและมีรสเปรี้ยว
ดังนั้นโยเกิร์ตที่ดีควรทำจากนมชนิดต่างๆและแบคทีเรียที่ดีเท่านั้น ไม่ควรมีส่วนผสมอย่างอื่นเข้าไปเจือปน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล สี สารเจลาติน รสสังเคราะห์ ส่วนผสมเหล่านี้ล้วนทำให้คุณค่าของโยเกิร์ตด้อยลง แม้ว่าเราอาจจะไม่คุ้นเคยต่อรสโยเกิร์ตธรรมชาติ แต่ขอให้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับ ท่านก็จะสามารถรับประทานโยเกิร์ตธรรมชาติด้วยความสบายใจและอร่อย

คุณประโยชน์จากโยเกิร์ต
1. โยเกิร์ตย่อยง่าย เพราะน้ำตาลแลคโตสเป็นตัวหลักที่ทำให้เกิดการแพ้นมหรือท้องเสียถูกเปลี่ยนเป็นกรดแลคติกที่ย่อยง่าย นอกจากนี้แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังมีเอนไซม์ช่วยย่อยโปรตีนนม เคซีน ซี่งเป็นโปรตีนย่อยยาก ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมได้ง่ายขึ้น ลดปัญหาภูมิแพ้ต่อน้ำตาลแลคโตสและ โปรตีนเคซีน

2. เสริมสร้างภูมิคุ้มกันและช่วยยับยั้งจุลชีพที่ไม่เป็นมิตรในลำไส้ กรดแลคติคจะช่วยต่อต้านจุลชีพที่อาจให้โทษต่อร่างกายเช่น เชื้อซัลโมเนลา (Salmonella typhidie) อี โคไล ( E. Coli) โคลินแบคทีเรีย( Corynebacteria diphtheriae) ทำให้เชื้อเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายต่อร่างกายได้ เราควรจะรับประทานโยเกิร์ตอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้มีกลุ่มแบคทีเรียที่ดีอาศัยอยู่ภายในลำไส้

3. เป็นแหล่งวิตามิน บี โดยเฉพาะวิตามิน บี1(ไรโบฟลาวิน) แบคทีเรียในโยเกิร์ตยังช่วยสังเคราะห์วิตามิน บีและวิตามิน เค ในลำไส้

4. ช่วยรักษาโรค ท้องเสีย ท้องเดิน และแผลในกระเพาะ จากการวิจัยพบว่าผู้ป่วยเด็กหายจากอาการท้องเสียเร็วขึ้น หลังจากได้รับประทานโยเกิร์ต

5. ช่วยทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมดีขึ้น กรดแลคติคในโยเกิร์ตช่วยทำให้การย่อยแคลเซียมในนมดีขึ้นและทำให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมง่ายขึ้น

6. เป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ในโยเกิร์ตจะมีโปรตีนมากกว่าในนม 20% และยังเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย ร่างกายสามารถดูดซึมได้ดี

7. ช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ แลคโตบาซิลัสช่วยควบคุมปริมาณโคเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้

8. ช่วยป้องกันมะเร็ง แลคโตบาซิลัสสามารถจับกับสารก่อมะเร็ง สามารถจับกับโลหะหนัก และกรดน้ำดีซึ่งมีพิษ แลคโตบาซิลัสช่วยยับยั้งกลุ่มแบคทีเรียในลำไส้ที่สร้างสารไนเตรทได้ (สารในเตรทเป็นสารก่อมะเร็งตัวหนึ่ง) และแลคโตบาซิลัสยังช่วยเปลี่ยนสารฟลาโวนอยด์จากพืชให้เป็นสารต้านมะเร็งได้

เรียบเรียงโดย : ทพ. จักรชัย สมพลพงษ์
© 2006 by Good Health (Thailand) Co., Ltd. All right reserved

http://lacyoghurt.com/miracle-of-lac-yoghurt