ภาวะอ้วน

ภาวะอ้วน

ภาวะอ้วนเป็นสาเหตุสำคัญอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง แนะควบคุมอาหารและออกกำลังกาย



ตั้งแต่เปิดศักราชปีมะแมผ่านสารพัดงานเลี้ยงตั้งแต่ปีใหม่ วาเลนไทน์ และล่าสุดตรุษจีน หลายคนคงเริ่มกลุ้มใจกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มมากขึ้น คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าภาวะอ้วนเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานและอีกมากมายหลายโรค แต่หลายคนคงคาดไม่ถึงว่าภาวะอ้วนเป็นสาเหตุสำคัญอีกสาเหตุหนึ่งของการเกิดโรคมะเร็ง
จากการที่เซลล์ไขมันส่วนเกินมีการสร้างฮอร์โมนเพศที่มีชื่อว่าเอสโตรเจนเพิ่มมากขึ้น ในสภาวะปกติฮอร์โมนตัวนี้พบได้ทั้งในเพศชายและหญิง แต่ในเพศหญิงจะพบมากกว่า เพราะถูกสร้างจากรังไข่เป็นหลัก และถูกสร้างจากอวัยวะอื่นในปริมาณที่น้อยกว่า เช่น ตับ ต่อมหมวกไต เต้านมและเซลล์ไขมัน เจ้าฮอร์โมนตัวนี้องค์การวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศจัดให้เป็นสารก่อมะเร็งในกลุ่มที่หนึ่ง คือมีหลักฐานชัดเจนว่าเป็นสาเหตุทำให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ เมื่อในร่างกายคนอ้วนมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงกว่าปกติ จึงมีการจับกับตัวรับฮอร์โมนในเซลล์มากขึ้น ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงของดีเอ็นเอในเซลล์ กลายเป็นเซลล์มะเร็งและกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งมีการแบ่งตัวมากขึ้นในที่สุด

ดังนั้นภาวะอ้วนจึงเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะเร็งเต้า ส่วนการที่จะรู้ว่าตัวเราเข้าขั้นอ้วนแล้วหรือยัง ก็คำนวณได้จากค่าดัชนีมวลกาย โดยการเอาน้ำหนักเป็นกิโลกรัมตั้งแล้วหารด้วยความสูงเป็นเมตร ได้เท่าไหร่ก็เอาความสูงเป็นเมตรหารซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ถ้าค่าที่ได้อยู่ในช่วง 18-25 แปลว่าน้ำหนักตัวอยู่ในเกณฑ์ปกติ ถ้าเกินกว่า 25 ก็แสดงว่าเริ่มน้ำหนักเกินแล้ว ถ้าค่าที่ได้เกินกว่า 30 ก็เรียกว่าอ้วนได้อย่างเต็มปากเต็มคำ หากรูปร่างของคนอ้วนนั้นมีลักษณะรูปทรงแบบอ้วนลงพุงป่องตรงกลางตัว แบบนี้เขาเรียกว่าอ้วนแบบทรงลูกแอปเปิ้ล หุ่นแบบนี้มีผลเสียและมีความเสี่ยงต่อสุขภาพมากกว่า พวกนี้มักมีระดับไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดสูง นอกจากจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ เบาหวาน และความดันโลหิตสูงแล้ว ยังเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งมากกว่าพวกอ้วนแบบทรงลูกแพร์ที่มีไขมันสะสมมากบริเวณบั้นท้ายและต้นขา
ใครที่รู้ตัวว่าอ้วนหรือเริ่มจะอ้วนแล้ว ก็อย่าผัดวันประกันพรุ่ง เริ่มลดน้ำหนักอย่างถูกต้องด้วยการควบคุมอาหาร ออกกำลังกายเป็นหลักได้แล้วนะครับ เอาแค่ลดได้สัปดาห์ละครึ่งกิโลก็โอเคแล้ว ใจเย็นๆ อย่าใจร้อน เดี๋ยวจะหัวใจวายไปซะก่อน

 

ที่มา : หนังสือพิมพ์ คมชัดลึก โดย นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ

http://www.thaihealth.or.th/Content/27519-%E2%80%98%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%99%E2%80%99%20%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A1%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B9%87%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%20.html

No comments:

Post a Comment